บล.พาย:
STECON: STECON Group PCL
คาด 3Q24 กำไรสุทธิ 52 ล้านบาท
เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” แต่ในรูปแบบเก็งกำไรในประเด็นที่คาดว่าจะเห็นการเปิดประมูลงานใหม่ของภาครัฐฯ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกจากการที่ STEC คาดว่าจะเซ็นสัญญางานใหม่ในช่วงปลายปีเข้ามาได้กว่า 40,000 ล้านบาท ทำให้ Backlog ณ สิ้นปีมีโอกาสกลับไปใกล้เคียงระดับ 100,000 ล้านบาทได้ สำหรับผลประกอบการงวด 3Q24 เราคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวจาก 2Q24 ได้จากผลดีของกำไรขั้นต้นที่กลับสู่ระดับปกติ หลังจาก 2Q24 มีการบันทึกต้นทุนซ่อมโครงการอุโมงหนองบอนเข้ามา รวมถึงส่วนแบ่งขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพูที่ลดลงตามจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น
คาด 3Q24 กำไรสุทธิ์ 52 ล้านบาท (-60%YoY, +113%QoQ)
- เราคาดว่า STEC จะมีกำไรสุทธิงวด 3Q24 ที่ 52 ล้านบาท (-60%YoY,+113%QoQ) ยังคงลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนอีกครั้ง โดยมีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารและส่วนแบ่งขาดทุนจากรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู
- รายได้หลักคาดที่ 8,428 ล้านบาท (+7%YoY,-0.3%QoQ) เทียบกับปีก่อนได้รับแรงหนุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ที่เริ่มงานขุดเจาะแล้ว รวมถึงงานโรงไฟฟ้าโซล่าที่อยู่ในช่วงเร่งงานก่อครบกำหนดในช่วงปลายปี ส่วนเทียบกับ 2Q24 ทรงตัวเพราะยังไม่มีงานใหม่เข้ามาเพิ่มแต่อย่างใด
- กำไรขั้นต้นคาดที่ 5.2% ดีขึ้นจาก 4.5% ใน 3Q23 และ 2.8% ใน 2Q24 เพราะมีรายได้จากโครงการที่มีกำไรขั้นสูงมากขึ้น และไม่มีต้นทุนส่วนเพิ่มของงานซ่อมแซมอุโมงระบายน้ำหนองบอนเข้ามาเท่า 2Q24 ค่าใช้จ่ายในการบริหารคาดที่ 244 ล้านบาท +79%YoY สาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายพนักงานในโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ รวมแล้ว STEC มีกำไรจากการดำเนินงาน 196 ล้านบาท (-11%YoY) แต่ดีขึ้นจากขาดทุน 6 ล้านบาทใน 2Q24
- ส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมคาดที่ 130 ล้านบาท (+140%YoY, -22%QoQ) เทียบกับปีก่อนเพิ่มจากผลขาดทุนในรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและชมพู ส่วนลดลงจาก 2Q24 เพราะผู้โดยสารในรถไฟฟ้าทั้ง 2 เส้นทางเพิ่มขึ้น
ผลดีจากบริษัทใหม่ จะเริ่มเห็นบางส่วนในช่วงปลายปีนี้
หลังจาก STEC มีการปรับโครงสร้างเป็น Holding Company ภายใต้ชื่อ STECON เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเริ่มเห็นการเข้าไปลงทุนในช่วงปลายปีนี้ โดยในส่วนแรกจะเป็นโครงการโรงไฟฟ้าขยะกำลังการผลิตประมาณ 9.9 Mhw ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่เวียดนามคาดจะเห็นความคืบหน้าในปี 25 เป็นต้นไป ส่วนงานก่อสร้างที่เป็นธุรกิจหลักคาดว่าในช่วงปลายปีนี้จะมีการเซ็นสัญญางานเข้ามากว่า 40,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นไปตามเป้าที่ผู้บริหารคาดหวังไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้ Backlog ในช่วงสิ้นปีมีโอกาสกลับไประดับใกล้เคียงกับ 100,000 ล้านบาทได้
มีข่าวดีจากภาครัฐ จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” เก็งกำไร
หากกำไรสุทธิในช่วง 3Q24 ออกมาตามคาดจะทำให้กำไรสุทธิในช่วง 9M24 คิดเป็นสัดส่วนเพียง 52% ของกำไรทั้งปีที่เราคาดไว้ที่ 170 ล้านบาท เราจึงอาจจะมีการปรับประมาณการใหม่ หลังประกาศผลประกอบการช่วงกลางเดือน ส.ค. นี้ สำหรับคำแนะนำการลงทุน เรามองว่าด้วยการที่ภาครัฐมีโอกาสเดินหน้าเศรษฐกิจด้วยการเปิดประมูลงานโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะทำให้ STECON มีโอกาสเพิมงานในมือได้ เราจึงยังคงแนะนำเก็งกำไรตามการเปิดประมูลงานใหม่ของภาครัฐเท่านั้น โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 11.8 บาท (1XPBV’24E)