บล.พาย:
TFM: Thai Union Feedmill PCL.
3Q24 กำไรสุทธิ 151 ล้านบาท
TM รายงานกำไรสุทธิงวด 3Q24 สูงถึง 151 ล้านบาท (+188%YoY, +17%QoQ) สูงสุดนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับผลดีจากการเติบโตของธุรกิจอาหารกุ้งทั้งที่ไทยและอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสวนทางกับผลผลิตกุ้งไทยที่ปรับตัวลดลง รวมถึงการปรับสัดส่วนสินค้าที่มีกำไรสูงมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากขยายการส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้างมากขึ้น สำหรับแนวโน้ม 4Q24 คาดว่าด้วยการที่เกษตรกรมีการเลื่อนการเลี้ยงกุ้งมาเป็นไตรมาส 4 หลังจากก่อนหน้านี้มีปัญหาราคาตกต่ำ จะทำให้ผลประกอบการในไตรมาสดังกล่าวจะไม่ใช่ช่วง Low Seasons ของธุรกิจเหมือนที่ผ่านมา ทั้งนี้เรามีการปรับประมาณการกำไรสุทธิขึ้นจากเดิม 21% มาอยู่ที่ 539 ล้านบาท (+517%YoY) เพื่อสะท้อนถึงผลประกอบการที่ออกมาดีในช่วง 9M24 ที่ผ่านมา
3Q24 กำไรสุทธิ 151 ล้านบาท (+188%YoY, +17%QoQ)
- TFM มีกำไรสุทธิงวด 3Q24 ที่ 151 ล้านบาท (+188%YoY, +17%QoQ) หากไม่รวมรายการพิเศษที่เป็นผลขาดทุนกว่า 25 ล้านบาท กำไรปกติจะสูงถึง 176 ล้านบาท (+157%YoY,+41%QoQ)
- รายได้ที่ 1,390 ล้านบาท (+6%YoY, +7%QoQ) เทียบกับปีก่อนเติบโตหลักจากธุรกิจอาหารกุ้งที่อินโดนีเซียหลังจากเริ่มเข้าไปทำธุรกิจตั้งแต่ปลายปีก่อน แม้ว่าในส่วนของธุรกิจอื่นจะลดลง หลังมีการปรับแผนใหม่โดยหันมาเน้นสินค้าที่มีกำไรสูงมากขึ้น ส่วนเทียบกับ 2Q24 เติบโตในมากจากอาหารสัตว์บกเติบมากที่สุด 8%QoQ
- กำไรขั้นต้นที่ 19.2% ดีขึ้นจาก 11.1% ใน 3Q23 และ 18.8% ใน 2Q24 สาเหตุหลักมาจากต้นทุนที่ลดลงโดยเฉพาะราคากากถั่วเหลืองที่ลดลง 4%YoY, 6%QoQ ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ 110 ล้านบาท (+30%YoY, -17%QoQ) เทียบกับปีก่อนเพิ่มขึ้นมากจากการขยายธุรกิจที่อินโดนีเซีย ส่วนลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา เพราะค่าใช้จ่ายทางการตลาดลดลงหลังใช้ไปมากในช่วง 2Q24
- รวมแล้วช่วง 9M24 TFM มีกำไรสุทธิ 384 ล้านบาท (+430%YoY)
4Q24 ไม่เหมือนไตรมาส 4 ของที่ผ่านมา
แนวโน้มช่วง 4Q24 คาดว่าปีนี้จะไม่ใช่ช่วง Low Seasons ของธุรกิจตามปกติ หลังจากก่อนหน้านี้เกษตรกรมีการชะลอการเลี้ยงกุ้งจากปัญหาสภาพอากาศและราคาตกต่ำ แต่หลังจากราคาเริ่มปรับตั้งแต่เดือนก.ย. ทำให้เกษตรกรกลับมาเลี้ยงกุ้งมากขึ้น ส่งผลให้รายได้ของ TFM ยังคงเห็นการเติบโตได้จากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนเทียบกับปีก่อนดีขึ้นจากการขยายตลาดที่อินโดนีเซียและการขายไปยังต่างประเทศอย่างเวียดนาม หรือมาเลเซียเป็นต้น
สำหรับปี 25 การเติบโตจะมาจากการส่งออกไปต่างประเทศมากขึ้น รวมถึงมีโอกาสจะเห็นการขยายกำลังการผลิตของโรงงานที่อินโดนีเซียเพิ่ม หลังจากมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
ปรับประมาณการขึ้นเล็กน้อย ยังคงแนะนำ “ซื้อ”
แม้ทางบริษัทจะปรับเป้าการเติบโตของรายได้ลดลงเป็น 3-5% จากเดิม 5-8% หลังเกษตรกรเลี้ยงกุ้งช้ากว่าปกติ แต่ด้วยต้นทุนที่ปรับตัวลดลงและการเน้นขายสินค้าที่มีกำไรสูงมากขึ้น ทำให้มีการคาดกำไรขั้นต้นทั้งปีขึ้นเป็น 17-19% จากเดิมคาดที่ 16-18% เราจึงมีการปรับประมาณการให้สอดคล้องกับเป้าดังกล่าว โดยคาดกำไรสุทธิใหม่ที่ 539 ล้านบาท (เดิม 445 ล้านบาท) จากผลประกอบการที่ออกมาดีรวมถึงแนวโน้ม 4Q24 ยังแข็งแกร่ง เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” เช่นเดิม โดยประเมินมูลค่าเหมาะสมได้ใหม่ที่ 15.1บาท (14XPER 24E)