SA ติดจรวด! โชว์งบ Q3/67 กำไรพุ่ง 2,137% มั่นใจกลยุทธ์โครงการ Mixed Use หนุนผลงานโตโดดเด่น
บมจ.ไซมิส แอสเสท (SA) มาตามนัด! เปิดงบไตรมาส 3/2567 มีรายได้รวม 1,107.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 290.38% และกำไร 110.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,136.98% ขณะที่งวด 9 เดือนแรก มีรายได้รวม 3,282.71 ล้านบาท และกำไร 288.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 329.67% รายได้หลักมาจากโครงการ LANDMARK AT MRTA STATION ฟากซีเอฟโอ “รีย์ฐิตา อักษรจิรารัตน์ ” ระบุตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเผชิญกับความท้าทายหลายปัจจัยทำให้ SA ปรับกลยุทธ์พัฒนา Branded Residence และโครงการ Mixed Use เจาะกลุ่มลูกค้าใหม่และตลาดเช่าต่างชาติ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว
นางสาวรีย์ฐิตา อักษรจิรารัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงินและบัญชี บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) (SA) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2567 มีรายได้รวม 1,107.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 823.53 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 290.38% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ดังกล่าวประกอบด้วย รายได้จากการจากการขายอสังหาริมทรัพย์และสินค้า 951.56 ล้านบาท รายได้จากการบริการ 118.68 ล้านบาท และรายได้อื่น 36.90 ล้านบาท ส่งผลทำให้บริษัทฯ มีผลกำไรรวมทั้งสิ้น 117.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,628.33% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นกำไรจากส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 110.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,136.98% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ ภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ในงวด 9 เดือนแรก มีรายได้รวมเท่ากับ 3,282.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,008.12 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 157.55% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 1,274.59 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลกำไรรวมทั้งสิ้น 303.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 189.76 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 166.21% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 114.17 ล้านบาท โดยเป็นกำไรจากส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 288.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 221.52 ล้านบาท หรือ 329.67% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 67.20ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 3/2567 และงวด 9 เดือนแรก บริษัทฯ รับรู้รายได้ส่วนใหญ่มาจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดโครงการ LANDMARK AT MRTA STATION ส่วนที่เหลือมาจากการขายโครงการแนวราบ ทั้งนี้หากพิจารณาสัดส่วนรายได้ตามประเภทโครงการ บริษัทฯ มีรายได้จากโครงการแนวสูงคิดเป็นสัดส่วน 86.29%และ75.36% ส่วนโครงการแนวราบคิดเป็นสัดส่วน13.71% และ 24.64 %ของรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์และสินค้า ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 3 ปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยเผชิญกับความท้าทายหลายปัจจัย เช่น มาตรการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่จำกัดการเข้าถึงของผู้บริโภค หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนก่อสร้างที่สูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่ม ทำให้ต้นทุนอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้นและการแข่งขันในตลาดเข้มข้นขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวก เช่น การลดภาษีและค่าธรรมเนียมการโอนสำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ความต้องการบ้านระดับลักซูรี และตลาดเช่าที่ฟื้นตัวจากการกลับมาของชาวต่างชาติ ได้ช่วยกระตุ้นตลาด
“บริษัทฯ มีการปรับกลยุทธ์ด้วยการพัฒนาโครงการ Branded Residence เพิ่มโครงการแบบ Mixed Use อาทิโครงการ LANDMARK AT MRTA STATION ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีมียอดจองและยอดรอโอนจำนวนมาก พร้อมทั้งขยายโครงการแนวราบสู่กลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย รวมถึงการเจาะกลุ่มนักลงทุนในตลาดเช่า ซึ่งคาดว่าจะเป็นโอกาสในการขยายธุรกิจในระยะต่อไป เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตของผลงานอย่างมั่นคงและยั่งยืน”
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นดำเนินงานเพื่อความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญตั้งแต่การออกแบบ พัฒนาเทคนิคการก่อสร้าง การเลือกใช้วัสดุที่ประหยัดพลังงานในการผลิต เลือกอุปกรณ์ไฟฟ้าและสุขภัณฑ์ที่ประหยัดพลังงาน ที่ทำให้เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้อาคาร จะลดการใช้พลังงานได้มากกว่า 40% รวมถึงการใช้พลังงานทางเลือกและอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน สอดคล้องกับนโยบาย “ธุรกิจสีเขียว” อสังหาฯ ที่ช่วยลดการปล่อย CO2 ซึ่งเป็นแนวคิดที่สำคัญสำหรับการก่อสร้างอาคารในอนาคต สู่แนวทางการพัฒนาอาคารอย่างยั่งยืน และเชื่อมั่นว่าอาคารประหยัดพลังงานจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นเมื่อเทียบกับอาคารทั่วไป สิ่งนี้ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดการเช่าและขายอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างดี และนับจากวันนี้ทุกโครงการที่บริษัทฯ พัฒนาจะต้องได้รับใบรับรอง EDGE มาตรฐานอาคารสีเขียวจาก IFC