KS Daily View 19.11.2024 >>> หุ้นไทยพุ่งขึ้น ขานรับ GDP ไตรมาส 3 ดีกว่าคาด วันนี้มองกรอบ 1,440 – 1,465 แนะนำ OSP, MOSHI

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สหรัฐฯ ปิดบวก โดย S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.39% เป็น 5,893.62 จุด Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 0.6% แต่ Dow Jones ลดลง 0.1% โดย S&P500 ปรับตัวขึ้นนำโดย Tesla ที่พุ่งขึ้นเกือบ 6% หลังมีรายงานว่าทีมงานของทรัมป์เตรียมผลักดันกฎหมายระดับประเทศสำหรับรถยนต์ไร้คนขับ ขณะที่ Nvidia ลดลง 1.29% จากปัญหาการระบายความร้อนของ Blackwell โดย Nvidia มีกำหนดรายงานผลประกอบการช่วงเช้ามืดวันพฤหัสบดี หุ้นกลุ่มพลังงานนำตลาดด้วยการปรับตัวขึ้น 1.2% ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น 3% จากความตึงเครียดในยูเครน

ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวขึ้นสวนทางตลาดในภูมิภาค โดยปิดที่ 1,452.78 จุด ปรับตัวขึ้นราว 10 จุด ขานรับตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 3/2567 ที่ดีกว่าตลาดคาด โดยมีการเติบโต 3% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วมากกว่าตลาดคาดที่ 2.4% และเติบโต 1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว สะท้อนการฟื้นตัวในเกือบทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการใช้จ่ายภาครัฐที่เติบโต 6.3% การลงทุนจากที่เคยลบลึกถึง 6.1% มาเป็นเติบโต 5.2% โดยที่การลงทุนภาครัฐขยายตัวที่ 25.9% เป็นการขยายตัวครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส การส่งออกสินค้าเติบโต 8.3% การท่องเที่ยวยังเติบโตสูงถึง 21.9% ในขณะที่การบริโภคเติบโต 3.4% โดยวานนี้มีกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวขึ้น 19 กลุ่ม นำโดยพลังงาน ขนส่ง อิเล็กทรอนิกส์ ธนาคาร และอสังหาริมทรัพย์ และปรับตัวลง 8 กลุ่ม หลักๆเป็นกลุ่มโรงพยาบาล และอาหาร นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากนักลงทุนต่างชาติที่กลับมาซื้อสุทธิ 1,685 ล้านบาท รวมถึงนักลงทุนสถาบันก็ซื้อสุทธิ 534 ล้านบาท ดัชนีค่าเงินดอลลาร์มีการอ่อนค่าที่ระดับ 107 มาที่ 106 ในขณะเดียวกัน Bond Yield 10 ปีของสหรัฐฯ เริ่มก็ตึงตัวที่ระดับ 4.5% ค่าเงินบาทแข็งค่าจาก 35 มาที่ 34.6 ดอลลาร์ ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนุนหุ้นไทยได้ วันนี้มองกรอบที่ 1,440 – 1,465 แนะนำ OSP, MOSHI

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1.สภาพัฒน์รายงานผลจีดีพีไตรมาส 3/2567 เติบโต 3.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน สูงกว่าที่ตลาดคาด โดยมีปัจจัยหนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐที่โต 6.3% การลงทุนที่ฟื้นตัวมาโต 5.2% และการส่งออกที่เติบโตแข็งแกร่ง 10.5% ส่งผลให้เศรษฐกิจ 9 เดือนแรกโต 2.3% สภาพัฒน์จึงปรับเพิ่มคาดการณ์ทั้งปี 2567 เป็น 2.6% ส่วนปี 2568 คาดโต 2.8% แต่มีความเสี่ยงจากนโยบายการค้าของทรัมป์

2.ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.01% แตะระดับ 69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนทวีความรุนแรง โดยรัสเซียโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 3 เดือน และสหรัฐอนุมัติให้ยูเครนใช้ขีปนาวุธโจมตีรัสเซีย นอกจากนี้ราคายังได้แรงหนุนจากการเก็งกำไรหลังราคาร่วงลง 3% ในสัปดาห์ที่แล้ว แม้จะมีความกังวลเรื่องอุปสงค์จากจีนและภาวะน้ำมันล้นตลาด

3.กระทรวงการคลังเตรียมเสนอแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจรายปีต่อที่ประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจวันที่ 19 พฤศจิกายน โดยจะครอบคลุมตั้งแต่ของขวัญปีใหม่ไปจนถึงปี 2568 ใช้เงินจากหลายแหล่งรวมถึงงบ 180,000 ล้านบาท พร้อมเตรียมเปิดโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 สำหรับผู้มีอายุ 50 หรือ 60 ปีขึ้นไป คาดแจกเงินช่วงปลายปีนี้หรือต้นปี 2568 รวมถึงมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ลูกหนี้รายย่อย

4.โบรกเกอร์วอลล์สตรีทปรับมุมมองต่อหุ้นจีนให้ระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากแรงกดดันจากภาวะเงินฝืดและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ Morgan Stanley ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นจีนเป็น “Slight underweight” ส่วน Goldman Sachs ปรับลดเป้าดัชนี MSCI China ลง หลังความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลจีนลดลง และชัยชนะของทรัมป์สร้างความกังวลเรื่องการขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน นอกจากนี้ Goldman ยังปรับลดน้ำหนักหุ้นฮ่องกงเป็น underweight เนื่องจากความอ่อนแอของภาคอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีก

5.ทีมของทรัมป์วางแผนผลักดันการผ่อนปรนกฎระเบียบรถยนต์ไร้คนขับในสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นประโยชน์โดยตรงกับ Tesla ของ Elon Musk ที่เป็นผู้บริจาครายใหญ่ให้ทรัมป์ โดยหุ้น Tesla พุ่งขึ้นเกือบ 6% ปัจจุบันกฎระเบียบจำกัดการใช้รถยนต์ไร้คนขับที่ 2,500 คันต่อปี แต่มีความพยายามผลักดันให้เพิ่มเป็น 100,000 คัน เพื่อรองรับแผนผลิตรถแท็กซี่ไร้คนขับของ Tesla ที่จะเริ่มในปี 2026

6.หุ้นอินวิเดียปิดตลาดปรับตัวลง 1.3% หลังจากดิ อินฟอร์เมชัน (The Information) ซึ่งเป็นเว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยีรายงานว่า ชิปแบล็คเวลล์ของอินวิเดียเกิดปัญหาความร้อนสูงเกินไปเมื่อนำมาเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ ขณะที่นักลงทุนจับตาผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทอินวิเดียซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) รายใหญ่ของสหรัฐฯ ในวันพุธนี้ (20 พ.ย.) เพื่อประเมินอุปสงค์ชิปแบล็คเวลล์ (Blackwell) ซึ่งเป็นชิป AI รุ่นใหม่ของบริษัท

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

OSP : ราคาพื้นฐาน 29.10 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ OSP แม้จะประสบปัญหาชั่วคราวในไตรมาส 3/2567 ที่รายได้กลุ่มเครื่องดื่มในประเทศติดลบจากผลกระทบน้ำท่วมภาคเหนือและการระบายสินค้า C-Vitt เพื่อรับ SKU ใหม่ แต่คาดว่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 4/2567 พร้อมรับรู้กำไรพิเศษจากการขายบริษัทในพม่าราว 130 ล้านบาท อีกทั้งกลยุทธ์เน้นสินค้าพรีเมียมเพื่อสร้างตลาดใหม่และการแข่งขันที่ดีขึ้นจะช่วยเพิ่มอัตรากำไรในอนาคต บริษัทตั้งเป้าเติบโต 9% ในระยะยาว แบ่งเป็นการเติบโตในประเทศ 5% และต่างประเทศ (พม่า ลาว เวียดนาม อินโดนีเซีย) มากกว่า 10% คาดปี 2568 จะไม่มีการด้อยค่าสินทรัพย์ ราคาหุ้นที่ลดลงราว 4% ตั้งแต่ต้นปีสร้างโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ พร้อมอัตราผลตอบแทนเงินปันผลราว 4.8% ในปี 2568

MOSHI : ราคาพื้นฐาน 53.60 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นหลังการประชุมนักวิเคราะห์ไตรมาส 3/2567 โดยคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 4/2567 จะแข็งแกร่งจากยอดขายสาขาเดิม QTD ที่เติบโต 24-26% จากความสำเร็จของสินค้าร่วมกับ NCT Dream และคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะดีขึ้นจากการเข้าสู่ไฮซีซัน ทางผู้บริหารมีความกังวลลดลงเกี่ยวกับการแข่งขันจากต่างประเทศ โดยสาขาที่เดอะมอลบางกะปิยังคงมียอดขายสาขาเดิมเติบโต 8-10% ในเดือนที่ผ่านมา สำหรับปี 2568 MOSHI วางแผนเปิด 40 สาขา เพิ่มรูปแบบร้าน สแตนด์อโลนขนาดใหญ่ และตั้งเป้ารายได้เติบโต 15-20% พร้อมเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นจากการเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าสินค้า

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันอังคาร ติดตามการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อของสหภาพยุโรปครั้งสุดท้าย (EU CPI) เดือน ต.ค. เทียบกับครั้งก่อนหน้าที่ 2.0% YoY และ เงินเฟ้อที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน (EU Core CPI) เทียบกับครั้งก่อนหน้าที่ 0.3% YoY ต่อด้วยการรายงานจำนวนที่อยู่อาศัยเริ่มสร้าง (Housing Starts) ของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 1.34 ล้านหลัง ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 1.35 ล้านหลัง ต่อด้วย รายงานใบอนุญาตก่อสร้างบ้าน (Building Permits) ของสหรัฐฯ เดือน ต.ค.ตลาดคาดการณ์ที่ 1.44 ล้านหลัง เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 1.43 ล้านหลัง
  • วันพุธ ติดตามการรายงาน Loan prime rate ของธนาคารกลางจีนเดือน ต.ค. ระยะเวลา 1 ปีตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 3.10% ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า และ Loan prime rate อายุ 5 ปีตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 3.60% ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า
  • วันพฤหัสฯ ติดตามตัวเลขยอดขายบ้านมือสอง (Existing home sale) เดือน ต.ค. โดยตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 3.88 ล้านหลังปรับตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 3.84 ล้านหลัง ต่อด้วยจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.17 แสนตำแหน่ง
  • วันศุกร์ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเดือน ต.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 2.3% YoY ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 2.5% YoY ต่อด้วยรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของโซนยุโรป (HCOB Manufacturing PMI Flash) เดือน พ.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 46.0 จุด ต่อด้วยการรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของสหรัฐ (S&P Global US Manufacturing PMI Flash) เดือน พ.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 48.50 จุด
- Advertisement -