KS Daily View 22.11.2024 >>> ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ โดยภาพรวมปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างดี แม้เทคใหญ่อย่าง Alphabet และ Amazon กดดันตลาด ด้านหุ้นไทยลบแรงจาก DELTA แต่ไส้ในวานนี้ปิดบวกได้ 18 กลุ่ม มอง Sideway ที่ 1,430 – 1,470 แนะนำ PR9, TIDLOR

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:

ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 4 หนุนโดยหุ้นกลุ่มวัฏจักร โดย Dow Jones พุ่งขึ้นแรงที่สุด 1.06% S&P 500 ปรับตัวขึ้น 0.53% ทำระดับสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์ ส่วน Nasdaq Composite ทรงตัว ภาพรวมตลาดปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างดี แต่ดัชนีโดนกดดันจากประเด็นเฉพาะตัวของหุ้นขนาดใหญ่อย่าง Alphabet ที่ร่วงแรง 4.7% หลังมีข่าวว่า DOJ เตรียมบังคับให้ขาย Chrome ในขณะเดียวกัน Amazon ก็ปรับตัวลง 2.2% จากความกังวลการสอบสวนของ EU ในปีหน้า ด้านดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นมาที่ระดับ 107 ทำระดับสูงสุดใหม่ในปีนี้อีกครั้ง หลังตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกออกมาต่ำกว่าคาด ทำให้ CME FedWtach ประเมินโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมอยู่ที่ 58% ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น

ตลาดหุ้นไทย ปิดที่ 1,440.46 จุด ปรับตัวลง 22 จุด ลบแรงกว่าตลาดอื่นทั่วโลกอย่างมาก โดยหลักๆเป็นผลมาจาก DELTA ที่ปรับตัวลงราว 16% มีส่วนทำให้ SET ติดลบ 28.5 จุด หลังหุ้นติดเกณฑ์ Cash Balance ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. ถึง 11 ธ.ค. 2567 อย่างไรก็ตามเมื่อวานนี้มีกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้ 18 กลุ่ม นำโดย พลังงาน ขนส่ง ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ ธนาคาร อาหาร และสื่อสาร ทั้งนี้นักลงทุนต่างประเทศได้กลับมามีสถานะซื้อสุทธิ 1,155 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันมีสถานะขายสุทธิ 1,480 ล้านบาท ปัจจัยภายนอกที่ดูกดดันหลังรัสเซียยิงขีปนาวุธใส่ยูเครนเป็นการโต้ตอบ ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น รวมถึงหุ้น DELTA ที่อาจจะยังผันผวน วันนี้มอง Sideway ที่กรอบ 1,430 – 1,470 จุด แนะนำ PR9, TIDLOR

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

  1. ราคาที่ดินเปล่าในกรุงเทพฯ-ปริมณฑลไตรมาส 3/67 เพิ่มขึ้น 2.9% จากปีก่อน โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้า โดยสายสีน้ำเงิน (บางแค-พุทธมณฑล) เพิ่มขึ้นสูงสุด 7% ตามด้วยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีทอง และสายสีส้ม ที่ 6.4% REIC คาดราคาที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าจะเติบโตต่อเนื่องโดยเฉพาะพื้นที่ที่กำลังพัฒนาหรือเพิ่งเปิดให้บริการ และแนะผู้ประกอบการเร่งพัฒนาโครงการในช่วงที่ราคายังไม่พุ่งสูง Co
  • ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในสหรัฐฯ ลดลง 6,000 ราย เหลือ 213,000 ราย ในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำสุดตั้งแต่เดือนเมษายน และต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดที่ 220,000 ราย สะท้อนตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง แม้จำนวนผู้รับสวัสดิการต่อเนื่องจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.91 ล้านราย สูงสุดในรอบ 3 ปี จากผลกระทบการประท้วงที่ Boeing
  • ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวขึ้นมาที่บริเวณ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังความตึงเครียดรัสเซีย-ยูเครนเพิ่มขึ้น โดยรัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) ใส่เมือง Dnipro ของยูเครน ซึ่งถือเป็นการใช้ ICBM ในการสู้รบครั้งแรกนับตั้งแต่มีการพัฒนาอาวุธชนิดนี้ในช่วงสงครามเย็น สร้างความกังวลให้ชาติตะวันตก โดยเป็นการตอบโต้หลังยูเครนใช้ขีปนาวุธของสหรัฐฯ และอังกฤษโจมตีรัสเซีย ขณะที่ทีมงานทรัมป์วิจารณ์การตัดสินใจของรัฐบาลไบเดนว่านำไปสู่การโจมตีที่รุนแรงขึ้น
  • ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) Kazuo Ueda ส่งสัญญาณการประชุมเดือนธันวาคมอาจมีการพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยระบุว่ายังไม่สามารถคาดการณ์ผลการประชุมได้ และจะพิจารณาข้อมูลที่จะเข้ามาอีกมาก ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ 80% คาดว่า BOJ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในเดือนมกราคม ท่ามกลางความกังวลเรื่องค่าเงินเยนอ่อนและแรงกดดันเงินเฟ้อ
  • กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ยื่นข้อเสนอให้ Google ขายเบราว์เซอร์ Chrome และอาจต้องขาย Android เพื่อยุติการผูกขาดตลาดเสิร์ชเอนจิน (90% ในสหรัฐฯ) พร้อมให้แชร์ข้อมูลและผลการค้นหากับคู่แข่ง ยุติสัญญาผูกขาดกับ Apple และถูกควบคุมดูแล 10 ปี โดยศาลจะพิจารณาข้อเสนอในเดือนเมษายน 2568 แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้หลังทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง
  • ที่ปรึกษารัฐบาลจีนส่วนใหญ่แนะนำให้คงเป้า GDP ปี 2568 ที่ 5% แม้จะเผชิญความท้าทายจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่อาจกระทบการเติบโตถึง 1% โดยเสนอให้ใช้นโยบายกระตุ้นการคลังที่แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่ผลสำรวจของ Reuters คาดเศรษฐกิจจีนจะโต 4.5% ในปีหน้า ซึ่งต่ำกว่าเป้าที่ที่ปรึกษาเสนอ

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

  • PR9 : ราคาพื้นฐาน 28.50 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ PR9 ที่กำลังเข้าสู่ช่วงการเติบโตใหม่ โดยมีรายได้เติบโต 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากจำนวนผู้ป่วยไทยที่เพิ่มขึ้น 11% และผู้ป่วยต่างชาติที่เติบโตถึง 42% โดยรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติคิดเป็น 18% ของรายได้รวมในไตรมาส 3/2567 ซึ่งเร็วกว่าคาดและเป้าหมาย 20% ที่ตั้งไว้ในสามปี ทั้งนี้รายได้จากผู้ป่วยตะวันออกกลางคิดเป็นเพียง 9% ของรายได้ผู้ป่วยต่างชาติทั้งหมด อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอัตราการใช้เตียงผู้ป่วยใน (IPD) ที่สูงถึง 66% ขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายขายและบริหารต่อยอดขายจะลดลงจากการประหยัดต่อขนาด โดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มมาก นอกจากนี้มูลค่าผู้ถือหุ้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการจ่ายเงินปันผลพิเศษครั้งแรกในไตรมาส 4/2567 สนับสนุนด้วยงบดุลที่แข็งแกร่ง และคาดว่าอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นจะปรับตัวดีขึ้น

  • TIDLOR : ราคาพื้นฐาน 23.00 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ TIDLOR จากการเข้าสู่ช่วงปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ในไตรมาส 4/2567 ที่คาดว่าจะดีขึ้นอย่างมีนัยจากการเก็บหนี้ที่ดีขึ้น และจะเริ่มเห็นผลจากการจัดการคุณภาพสินทรัพย์ตั้งแต่ปี 2566 ส่งผลให้ต้นทุนทางเครดิตและการเกิดหนี้เสียใหม่ลดลง อีกทั้งมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องต่ำกว่าคู่แข่ง และคาดว่าอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นจะกลับมาเติบโตตั้งแต่ปี 2568 โดยคาดการเติบโตของสินเชื่อปี 2568 ที่ระดับ 10% ด้วยความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพจะส่งผลให้กำไรเติบโต 14-16% ในปี 2568 – 2569

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันศุกร์ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเดือน ต.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 2.3% YoY ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 2.5% YoY ต่อด้วยรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของโซนยุโรป (HCOB Manufacturing PMI Flash) เดือน พ.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 46.0 จุด ต่อด้วยการรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของสหรัฐ (S&P Global US Manufacturing PMI Flash) เดือน พ.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 48.50 จุด
- Advertisement -