ยังระอุ ทั้งภายในและภายนอก / 1,430-1,450
SET คาดยังปรับตัวลง: แรงกดดันจากความน่าสนใจของสินทรัพย์อื่นท่ามกลางไฟสงคราม และภาพการเมืองไทยที่ยังน่ากังวล
กลยุทธ์การลงทุน
- ท่องเที่ยวและ Spending: AAV, BA, AU, CENTEL, CPAXT, CRC, CPN, ADVANC
- มาตรการรัฐ: AP, LH, SPALL, SC, BBL, KTB, WHA, AMATA
- พลังงานและสงคราม: BCP, PTTEP, SPRC
- กองทุน TESG และVAYU1: FTREIT, GULF, KBANK, LHHOTEL, TTB
- Selective: CCET, INTUCH, VGI, BTS, KTC, SAWAD, MTC, COCOCO
- ทองและสหรัฐ น่าสนใจท่ามกลางไฟสงคราม กดดันไทย: ภาพความกังวลสงคราม รัสเซีย-ยูเครนยังกดดันบรรยากาศการลงทุน ล่าสุดรัสเซียขเผยว่าจะใช้ขีปนาวุธชนิดใหม่ในชื่อ ขีปนาวุธโอเรชนิก (Oreshnik) โดยขีปนาวุธชนิดนี้ รัสเซียระบุว่าเป็นชนิดที่ไม่สามารถสกัดกั้นได้ และยืนยันว่าจะเดินหน้าทดสอบขีปนาวุธดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ด้านยูเครนเผยว่าในการโจมตีช่วงที่ผ่านมา ขีปนาวุธที่รัสเซียใช้กว่า 1 ใน 3 มาจากเกาหลีเหนือ หลังในช่วงก่อนหน้าเกาหลีเหนือได้ส่งกำลังพลไปช่วยเหลือกองทัพรัสเซีย ทำให้ตลาดยังคงกังวลต่อการลุกลามบานปลายของสถานการณ์ เนื่องจากเริ่มมีประเทศขนาดใหญ่เข้าร่วมสงครามในครั้งนี้ และต่างฝ่ายล้วนเดินหน้าผลักดันให้ใช้อาวุธสงคราม ผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องล่าสุดทะลุระดับ 2,700 เหรียญอีกครั้ง อาจดึงความสนใจไปจากสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งมีปัจจัยเฉพาะตัวจากว่าที่ปธน.ทรัมป์ ที่คาดจะเดินหน้าผลักดันเศรษฐกิจภายใน จึงกลายเป็นเป้าหมายการลงทุนที่น่าสนใจ ขณะที่ Dollar Index ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดที่ระดับ 108 จุด สูงสุดในรอบ 2 ปี มองจะกดดันต่อความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย และอาจกดดัน ฟันด์โฟลวให้ไหลกลับไปสู่ตลาดหุ้นสหรัฐ
- การเมืองไทย โล่งใจ แต่ไม่สุด : หลังวันศุกร์ที่ผ่านมาศาล รัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง 6 ข้อกล่าวหาคุณทักษิณ ชินวัตร ที่รวมถึงคดีการครอบงำพรรคการเมือง ล่าสุด กกต. ย้ำเดินหน้าสอบปมดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวมีมูล ซึ่งได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนไปแล้วเมื่อวันที่ 18 ต.ค. 67 โดยจะสอบสวนให้เสร็จในวันที่ 17 พ.ย. 67 ที่ผ่านมา แต่หากยังไม่แล้วเสร็จ ยังสามารถขยายไปอีก 30 วัน นั้นคือจะทราบผลสอบสวนอีกครั้งวันที่ 17 ธ.ค.67 จึงอาจยังสร้างความไม่มั่นใจให้นักลงทุนบางส่วน กดด้น Sentiment การลงทุน
- ปัจจัยอื่นๆ สัปดาห์นี้จับตา : 1) การปรับน้ำหนักดัชนี MSCI ซึ่งจะ มีผล ณ ราคาปิดในวันนี้ 2) ตัวเลขนำเข้า-ส่งออกไทยเดือน ต.ค.67 3) GDP3Q67(2nd Preliminary) ของสหรัฐ และ 4) PCE เดือนต.ค. 67 ของสหรัฐ
+ ปัจจัยเพิ่มเติม-
(+) ทอท. มั่นใจปีหน้าธุรกิจการบินโต ผู้โดยสารแตะ 130 ล้านคน หลังจำนวน นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดจะกลับไปใกล้เคียงกับช่วงก่อน Covid-19 ได้ โดยปริมาณผู้โดยสารส่วนใหญ่กว่า 60% จะยังคงเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ
(+) กระทรวงพาณิชย์ คาดการณ์ว่า ยอดจดทะเบียนในโตรมาสสุดท้ายของปี 2567 จะเร่งตัวขึ้น หนุนยอดจดทะเบียนตั้งธุรกิจใหม่ปีนี้แตะ 9 หมื่นราย
(+) เลขาคปภ.เผยธุรกิจประกันภัยในปี 2568 จะมีเบี้ยประกันภัยโต 3%y-y และเบี้ยประกันภัยทั้งระบบจะแตะ 9.8 แสนล้านบาท โดยมองธุรกิจประกันภัยสุขภาพมีความโดดเด่นที่สุด โดยเบี้ยประกันมีโอกาสแตะระดับ 1 ล้านล้านบาทในปี 2569
(-) นักเศรษฐศาสตร์ของรอยเตอร์เผย B0J มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.67 เพื่อเตรียมรับมือกับภาวะเงินเฟ้อจากนโยบายของทรัมป์
PICKS OF THE DAY
KTC BUY
- เป้าหมาย 48.50 / 49.00 แนวรับ 46.50
- คาด 4Q67 กำไรเติบโต y-y ,q-q: ทางฝ่ายคาดการณ์แนวโน้มกำไร +14-15% y-y, +3.0% q-q จากการเพิ่มขึ้นของรายได้หลัก ตามแนวโน้มอุตสาหกรรมสื่อสารที่ยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้น รวมถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติตามปัจจัยช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ออกไปท่องเที่ยวในต่างประเทศ หนุนรายได้จากการโรมมิ่งเพิ่มขึ้น
- คาดกำไรสดใสรับปี 68 : ทางฝ่ายคาดกำไรขยายตัวต่อเนื่อง จากการที่ ADVANC มีโอกาสได้ประโยชน์กระแส Infra Tech ที่ยังคงโดดเด่นต่อเนื่อง หลัง Equinix ผู้ประกอบการ Data Center จากสหรัฐฯ ประกาศลงทุนในไทยเพิ่มเติมต่อจากกลุ่มยักษ์ใหญ่ รวมถึงแรงหนุนจากต้นทุนที่ลดลง จากการประมูลคลื่นในช่วงต้นปี 2568 ที่กลับมาในราคาถูกลง
ADVANC BUY
- เป้าหมาย 295.00 / 299.00 แนวรับ 285.00
- เข้าฤดูกาลจับจ่าย: ช่วงไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่มีการจับจ่ายสูง คาดว่าจะทำให้ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรของ KTC เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลดีต่อการเติบโตของสินเชื่อ และผลประกอบการ
- ผลงานดีกว่ากลุ่มชัดเจน: ทางด้านสินเชื่อบัตรเครดิตถึงแม้สินเชื่อจะหดตัว 0.2% y-y แต่ก็ดีกว่าอุตสาหกรรมที่หดตัว 3.2% y-y และทำให้ KTC มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นมาเป็น 2.3% จาก 1.9% ในปีก่อน นอกจากนี้การเติบโตของการใช้จ่ายผ่านบัตรของ KTC อยู่ที่ 10% ซึ่งสูงกว่าอุตสาหกรรมที่ 2.6% มาก ทางด้านสินเชื่อส่วนบุคคล KTC เติบโตขึ้น 2.1% y-y ถึงแม้ว่าจะโตน้อยกว่าอุตสาหกรรมที่โต 4% y-y แต่ KTC สามารถลดระดับ NPL ลงได้เหลือ 2.21% จากปีก่อนที่ 3.11% ในขณะที่อุตสาหกรรมมี NPL 3.58% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี NPL 3.45%