มีความหวัง และมีสิ่งที่รอติดตาม / 1,430-1,450

SET แกว่งตัว Sideways: แรงหนุนจากเครื่องยนต์การส่งออกที่ดีกว่าคาด และความหวังมาตรการแก้หนี้ของภาครัฐ รวมถึงสัญญาณเชิงบวกจากการเจรจาในตะวันออกกลาง หากแต่มองทางขึ้นจำกัด เนื่องจากนักลงทุนยังรอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญในฝั่งสหรัฐฯคืนนี้

กลยุทธ์การลงทุน

  1. ท่องเที่ยวและ Spending: ADVANC, AEONTS, AOT, AWC, CENTEL, CRC, KTC, MINT, MTC, TNP, TRUE
  2. ส่งออก: DELTA, STA, STGT, TFG
  3. คาดเข้า SET50/100: COCOCO, PR9
  4. กองทุน TESG และ VAYU1: GULF, FTREIT, SC, SIRI, WHART
  • เครื่องยนต์ส่งออกดี ขณะที่การแก้หนี้มีความหวัง: คาด SET Index ยังคงได้ Sentiment เชิงบวกต่อภาพการส่งออกไทยเดือนต.ค.67 ขยายตัว 14.6% y-y โดยมีมูลค่า $2.722 หมื่นล้าน สูงสุดในรอบ 19 เดือน โดยสินค้าที่ขยายตัวได้ดี อาทิ ยางพารา ไก่สดและแปรรูป และเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นต้น กอปรกับกระทรวงพาณิชย์คาดปีนี้มีลุ้นโตได้ถึง 4% เกินเป้าที่ตั้งไว้เดิม 2% อีกทั้ง คาดจะได้ Sentiment หนุนเพิ่มเติมจากความหวังในการแก้ไขปัญหาหนี้ หลังธปท.เผยถึงความคืบหน้ามาตรการแก้หนี้ครัวเรือนว่าธปท.ได้ร่วมมือกับกระทรวงการคลัง และสมาคมธนาคารไทย เพื่อเตรียมออกมาตรการแก้หนี้ ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นความชัดเจนภายในสิ้นปีนี้
  • คลายกังวลสถานการณ์ตะวันออกกลาง: นอกจากนี้ คาดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงจะได้ Sentiment หนุนจากความคลายกังวลภาวะสงครามในตะวันออกกลาง หลังนายกฯอิสราเอลเผยครม.ความมั่นคงได้อนุมัติข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มอิซบอลเลาะห์แล้ว และในขั้นตอนต่อไป เขาจะเรียกประชุมครม.เต็มคณะ เพื่อให้การอนุมัติข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งจะปู่ทางไปสู่การยุติการทำสงครามซึ่งกินเวลานาน 14 เดือน ทั้งนี้ ปธน.สหรัฐฯเผยว่าข้อตกลงหยุดยิงจะมีผลบังคับใช้ในวันนี้
  • ติดตามสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ: อย่างไรก็ตามูมองทางขึ้นจำกัด เนื่องจากนักลงทุนยังรอติดตามสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบียของเฟด หลังรายงานการประชุมเฟดเดือน พ.ย.67 ระบุว่ากรรมการมีความเห็นที่แตกต่างกันที่ว่าเฟดอาจจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกมากเท่าใด และมีความเห็นตรงกันว่าถึงเวลาแล้วที่เฟดควรหลีกเลี่ยงการชี้นำมากเกินไปเกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงิน ส่งผลให้ทางฝ่ายมองนักลงทุนจะหันมาให้น้ำหนักกับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยคืนนี้ติดตาม 1) PCE เดือนต.ค.67 ตลาดคาด m-m ทั้ง Headline และ Core ขยายตัวเท่ากับเดือนก.ย.67 ที่ 0.2% และ 0.3% ตามลำดับ หากแต่ y-y อาจเห็นการเร่งขึ้น โดยตลาดคาด Headline และ Core ขยายตัว 2.3% และ 2.8% จากเดือนก.ย.67 ที่ 2.1% และ 2.7% ตามลำดับ และ 2) GDP3Q67 (Annualized q-q) รอบที่ 2 ตลาดคาดขยายตัว 2.8% เท่าครั้งแรก

+ ปัจจัยเพิ่มเติม –

(+) กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เผยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-24 พ.ย.67 ไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศแล้วทั้งสิน 31.3 ล้านคน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 1.47 ล้านล้านบาท

(+) รัฐบาลแก้หนี้แพ็คเกจใหญ่ครอบคลุมคว่า 3 ล้านราย พร้อมเสนอเข้าครม. 11 ธ.ค.67 เผยมาตรการเพิ่มเติมล่าสุดแฮร์คัดเงินกู้ส่วนบุคคล-บัตรเครดิต เป็นหนี้ไม่เดิน 5,000-10,000 บาท หนี้เสียค้างเกิน 1 ปี ดึงกลับมาชำระ 5-10%

(-) ธปท.เผย 3Q67 สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ ลดลง 2% y-y เป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 53 สาเหตุหลักจากการชำระคืนหนี้ ส่วน NPL เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.53 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ 2.97% สูงสุดนับตั้งแต่ 4Q64 ซึ่งอยู่ที่ 5.50 แสนล้านบาท คิดเป็น NPL 3.02%

(-) Krungthai COMPASS ประเมินยอดขายรถยนต์ไทยในปี 67-68 อาจอยู่ในระดับต่ำที่ปีละ 6.0-6.1 แสนค้น ลดลงจากค่าเฉลี่ยในอดีต (ปี 64-66) เดือบ 25%

PICKS OF THE DAY

STGT BUY
  • เป้าหมาย 10.80 / 11.20 แนวรับ 9.85
  • สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน จุดกระแสผลประโยชน์: ทางฝ่ายคาดหากสหรัฐฯ มีการปรับขึ้นภาษีของสินค้าที่นำเข้าจากจีน ส่งผลให้การนำเข้าถุงมือยางจากจีนมีต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้ผู้ซื้อในสหรัฐฯ ต้องหาทางเลือกใหม่เพื่อลดผลกระทบทางต้นทุน คาด STGT ได้ประโยชน์จากการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น เพื่อทดแทนสินค้าจากจีน เหตุจากการเป็นหนึ่งในผู้ผลิตถุงมือยางรายใหญ่ในเอเชียและเป็นผู้ผลิตถุงมือยางรายสำคัญของโลก
  • ทางฝ่ายคาด 4Q67 รายได้เติบโต y-y: ทางฝ่ายคาดปริมาณการขายขยายตัวตามทิศทางความต้องการถุงมือยางและผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์ รวมถึงการผลิตน้ำยางข้นในตลาดโลกยังมีน้อยเนื่องจากกระบวนการผลิตส่วนใหญ่ยังเน้นผลิตเพียงยางถ้วยและเศษยาง ทำให้ภาวะการแข่งขันการส่งออกน้ำยางข้นไม่รุนแรงมากนัก
WHART BUY
  • เป้าหมาย 10.40 / 10.60 แนวรับ 10.00
  • อัตราการเช่าพื้นที่ปรับตัวดีขึ้น: ใน 3Q67 อัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยปรับตัวขึ้น โดยอยู่ที่ 84.77% ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องจาก 2Q67 และ 1Q67 ซึ่งอยู่ที่ 84.22% และ 83.24% ตามลำดับ ขณะที่ระยะต่อไปยังคงมีแนวโน้มขยับขึ้นต่อเนื่อง จากการที่ผู้เช่าจะทยอยเข้ามาในช่วง 4Q67 ถึง 2Q68 ซึ่งจะช่วยหนุนให้อัตราการเช่าพื้น ที่เฉลี่ยมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นไปใกล้เคียงระดับในอดีตที่ประมาณ 90% ภายในปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า
  • แรงหนุนจากการย้ายฐานการผลิต: ทางฝ่ายมอง WHART เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต สอดรับกับการที่สินทรัพย์ในบางพื้นที่ของกองทรัสต์ฯมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนจากคลังสินค้ามาเป็นโรงงาน นอกจากนี้ ทางฝ่ายมอง WHART เป็นหนึ่งในกองทรัสต์ที่มีแนวโน้มเป็นเป้าหมายของกองทุน VAYU1 สอดรับกับการที่เป็นกองทรัสต์ฯในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในไทย

 

 

- Advertisement -