Daily Focus: เริ่มหลุดแนวรับ 1,440 จุด อาจซึมลงหา 1,400+- จุด
2025 SET Target: 1600
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัวในแดนบวกเล็กน้อยช่วงเช้าหนุนโดย DELTA ก่อนที่ช่วงบ่ายจะมีแรงขายหุ้นขนาดใหญ่อย่างกระจายตัว กดดันดัชนีย้อนลงมาปิดลบ 5.06 จุด ที่ระดับ 1,438.25 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.7 หมื่นลบ. โดย DELTA ช่วยหนุนดัชนีราว 6 จุด สถาบันในประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้น 470 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิบางๆ 11 ลบ. (และ Short Index Futures อีกเล็กน้อย 2.8 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะยังแกว่ง Sideways to Sideways Down หลังเริ่มปิดต่ำกว่าระดับ 1,440 จุด ทำให้โมเมนตัมเริ่มดูไม่ค่อยดี ขณะที่รายงานการประชุม FED ระบุว่าคณะกรรมการมีความเห็นต่างว่าควรปรับลดดอกเบี้ยลงอีกมากเท่าใดทำให้ยังมีความไม่แน่นอน โดยล่าสุดตลาดคาดความน่าจะเป็นราว 60% ที่ FED จะยังลดดอกเบี้ยต่อในเดือน ธ.ค. อีก 25 bps และรอบนี้ต้องติดตาม Dot Plot ในการประชุมครั้งนี้ โดยคืนนี้ต้องติดตามตัวเลขเงินเฟ้อ PCE เดือน ต.ค. ซึ่งตลาดคาด Core +0.3% m-m, +2.8% y-y ด้านราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับต่ำ หลังอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์เห็นชอบข้อตกลงหยุดยิง 60 วัน และสหรัฐฯเตรียมผลักดันการหยุดยิงในกาซาต่อไป ส่วนปัจจัยในประเทศ ติดตามการประชุมครม.สัญจรวันศุกร์ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติมหรือไม่ ระยะสั้นเรามองตลาดอยู่ระหว่างการทยอยปรับพอร์ตรับผลประกอบการ 3Q24 และ Outlook 4Q24-2025 หลังการประชุมนักวิเคราะห์ อย่างไรก็ตาม เราคาดโมเมนตัมกำไรและเศรษฐกิจไทยจะเร่งตัวอีกครั้งใน 4Q24 จาก High Season ของการใช้จ่ายและการท่องเที่ยว รวมถึงปี 2025 ที่มองภาคการลงทุนทั้งรัฐและเอกชนจะเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักหนุนการเติบโต นอกจากนี้ยังมี Upside หากกนง.ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ส่วน Downside คาดว่ายังถูกจำกัดจากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ 1
กลยุทธ์ : เน้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไร 4Q24-2025 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วง ก่อนหน้ายังถือลงทุนระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน พ.ย. : MAGURO, MTC, OSP, SFLEX, VIH
FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CALL, CPN, ITC, KCG, KTB, MTC, NSL, SFLEX, SHR
หุ้นเด่น Finansia 27 พ.ย. 24 : PHG
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 21 บาท
- ROJNA ได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มในสัดส่วนอีก 19.4% ที่ราคาหุ้นละ 17 บาทจากกลุ่มตระกูลช่าง ทำให้กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ 24.5% เราคาดเห็น Synergy จากการขยายฐาน SSO โดยคาดว่าจะมีการสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ในนิคมโรจนะ รวมถึงส่งต่อผู้ป่วยในกรณีที่เป็นโรคที่มีความซับซ้อนให้แก่ PHG หากประสบความสำเร็จมีโอกาสใช้โมเดลนี้ขยายไปต่อยอดที่นิคมอื่นๆของโรจนะที่ระยอง ปราจีนบุรี และชลบุรี
- ปัจจุบันราคาหุ้นยังไม่แพง เทรด 2025PER เพียง 15 เท่า และมี growth ที่ 10-15% ในช่วงปี 2024-25 โดยปีหน้ามีแผนรับผู้ประกันตนเพิ่ม 2 หมื่นราย และก่อสร้างตึกใหม่ (มี highlight คือศูนย์มะเร็ง และ MRI) โดยการ synergy กับ ROJNA ถือเป็น upside ส่วนเพิ่มในระยะยาว และเป็นการ unlock จากการเป็น standalone hospital
- แนวรับ 15.70//15.40 บาท แนวต้าน 16.30//16.70-16.80 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนพลิกมาไหลออกจากภูมิภาคสุทธิหนาแน่น US$1,198 ล้าน นำโดยไต้หวัน US$964 ล้าน รองลงมาคือเกาหลีใต้ US$196 ล้าน ส่วนอาเซียนเม็ดเงินยังไหลออกเกือบทุกประเทศ สูงสุดที่อินโดนีเซีย US$37 ล้าน และมีเพียงเวียดนามที่ยังไหลเข้าบางๆ แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนไปในทิศทางไหลออก โดยตลาดยังขาดปัจจัยบวกใหม่ ตลาดยังจับตา FED ว่าจะลดดอกเบี้ยช้าลงมากน้อยเพียงใด รวมถึงความกังวลนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของทรัมป์
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) ส่งออกไทยเดือน ต.ค. 24 ดีกว่าคาดมาก ยอดส่งออกเดือน ต.ค. +14.6% y-y ดีกว่าตลาดคาดไว้ที่ +5.4% Y-Y ยอดนำเข้าเดือน ต.ค. +15.9% Y-Y สูงกว่าตลาดคาดไว้ที่ +6.4%Y-Y ส่งผลให้เดือน ต.ค. ขาดดุลการค้า USD0.79 พันล้าน ส่วนมูลค่าส่งออกเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรเดือน ต.ค. +7.2% y-y สินค้าที่ขยายตัวดี นำโดย ข้าว +10% และยางพารา +32.6% y-y ขยายตัวเป็นเดือนที่ 12 ไก่แช่แข็งและแปรรูป +12.4% อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป +26.7% อาหารสัตว์เลี้ยง +18.2% บวกต่อ STA GFPT TU ITC AAI
(+) AOT รายได้ minimum guarantee ที่ลดลง จากการขอคืนพื้นที่เชิงพาณิชย์ คาดจะกระทบกำไรปกติปี 2025 เพียง 1% โดยการขอคืนพื้นที่เชิงพาณิชย์เพื่อพัฒนาเป็นโครงการขยายสนามบินด้านตะวันออกที่คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จในปี 2027 และคาดจะเพิ่มกำไรได้ 6-7% เราปรับลดประมาณการกำไรปกติปี FY25-26 ลง 5% เพื่อสะท้อนรายได้จากพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่หายไป และปรับสมมติฐานปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 136 ล้านคน คาดกำไรปกติปี FY25 +23% y-y และปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 68 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(-) TTA ดัชนี Supramax เฉลี่ยอยู่ที่ 1,167 จุด ในช่วง 4QTD ปรับลง 11.6% และ 9.7% จากค่าเฉลี่ยใน 3Q24 และ 4Q23 ตามลาดับ จากอุปทานที่โตเร็วกว่าอุปสงค์ นอกจากนี้ 4Q เป็น Low season อุปสงค์ที่อ่อนแอโดยเฉพาะจากจีนจะยังกดดันค่าระวางเรือ เราจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2024 ลง 13.3% โดยคาดกำไร 4Q24 เบื้องตันที่ 320-330 ล้านบาท ลดลง 4-6% q-q สำหรับประมาณการกำไรปี 2025-26 ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก และคงราคาเป้าหมายที่ 6.40 บาท ยังแนะนำเพียง “ถือ”
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 123.74 จุด หรือ +0.28%, ปิดที่ 44,860.31 จุด โดยดาวโจนส์ฟื้นตัวเนื่องจากนักลงทุนซึมซับข่าวโดนัลด์ ทรัมป์ ขู่เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน เม็กซิโก และแคนาดา รวมทั้งซึมซับรายงานการประชุมเดือนพ.ย.ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ นำโดยหุ้นกลุ่มรถยนต์ เนื่องจากการขู่เก็บภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ จากบรรดาประเทศคู่ค้ารายใหญ่สุดของสหรัฐฯ ทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับการเกิดสงครามการค้าโลกขึ้นอีกครั้ง
(0) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวกสลับลบ หลังตลาด S&P 500 และตลาดดาวโจนส์ทำ all time high
(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 34.74 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ +0.32%
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 17 เซนต์ หรือ 0.25% ปิดที่ 68.77 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีรายงานว่าอิสราเอลได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิ่งกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ซึ่งข่าวดังกล่าวส่งผลให้ค่าพรีเมียมความเสี่ยง (risk premium) ของราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 68.83 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.09%
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 2.80 ดอลลาร์ หรือ 0.10% ปิดที่ 2,646.30 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามในยูเครนและข่าวโดนัลด์ทรัมป์ ขู่เรียกเก็บภาษีการค้าจากเม็กซิโก แคนาดา และจีน เป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 2,653.30 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ +0.26%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 879.41/-
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
27 พ.ย. | สหรัฐ: PCE price Index (ต.ค.), Durable goods (ต.ค.), 3Q24 GDP growth (2nd) |
28 พ.ย. | เยอรมัน: เงินเฟ้อ (ต.ค.) |
29 พ.ย. | ยูโรโซน: เงินเฟ้อ (ต.ค.) อินเดีย: 3Q24 GDP growth แคนนาดา: 3Q24 GDP growth ไทย: รายงานเศรษฐกิจจากแบงก์ชาติ |
30 พ.ย. | จีน: NBS Manufacturing PMI (พ.ย.) |
02 ธ.ค. | จีน: Caixin Manufacturing PMI (พ.ย.) |