KS Daily View 26.11.2024 >>> S&P500 ทำจุดสูงสุดใหม่ หนุนจากการหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮิซบอลเลาะห์ SET มองกรอบ 1,430-1,455 แนะนำ OSP, TASCO

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกต่อเนื่องเป็นวันที่เจ็ด โดยดัชนี S&P 500 (+0.57%) ทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นครั้งที่ 52 ในปีนี้ ปิดเหนือ 6,000 จุด หนุนโดยหุ้น Mega-Cap อย่าง Microsoft, Amazon และ Eli Lilly ที่ฟื้นตัวแรง แม้จะมีแรงกดดันจากนโยบายภาษีใหม่ของทรัมป์ซึ่งกระทบหุ้นกลุ่มยานยนต์และพลังงาน ขณะเดียวกัน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 16 เดือน แม้ว่ายอดขายบ้านใหม่จะลดลงต่ำสุดในรอบ 2 ปี อีกหนึ่งปัจจัยหนุนสำคัญคือความคืบหน้าในการระงับความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดยรัฐบาลไบเดนสนับสนุนการเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและเลบานอน ช่วยลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ รายงานการประชุม Fed ส่งสัญญาณผ่อนคลาย ทำให้ตลาดคาดโอกาสราว 63% ที่จะลดดอกเบี้ยอีก 25 bps ในเดือนธันวาคม

ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,438.25 จุด ปรับตัวลง 5 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดตั้งแต่กลางเดือนกันยายน 2567 หลุดแนวสำคัญที่ 1,440 จุด สะท้อนการปรับตัวลงตามตลาดในภูมิภาค จากความกังวลเรื่องสงครามการค้า หลังว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 10% และจากเม็กซิโกกับแคนาดา 25% โดยระบุว่าจะเริ่มมีผลทันทีในวันแรกของการดำรงตำแหน่ง วานนี้หุ้นไทยปรับตัวลงกระจายในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยมีถึง 19 กลุ่มที่ปิดในแดนลบ นำโดยกลุ่มพลังงาน สื่อสาร ค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และโรงพยาบาลที่ทำจุดต่ำสุดใหม่ (New Low) ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ช่วยพยุงตลาด หลังตัวเลขส่งออกของภาคนี้ยังแข็งแกร่ง โดยหุ้น DELTA มีส่วนช่วยหนุนดัชนีราว 6 จุด ด้านนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 11 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 470 ล้านบาท เราประเมินว่าตลาดยังมีแนวโน้ม Sideway down โดยมองกรอบการเคลื่อนไหวที่ 1,430–1,455 จุด แนะนำ OSP, TASCO

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1.การส่งออกไทยเดือนตุลาคม 2024 เติบโตแข็งแกร่งที่ 14.6% YoY สูงกว่าที่ตลาดคาด 5.1% และเร่งตัวขึ้นจาก 1.1% ในเดือนกันยายน โดยได้แรงหนุนหลักจากการส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ที่โต 30% YoY มูลค่า 4.8 พันล้านดอลลาร์ นำโดยคอมพิวเตอร์และชิ้นส่วนที่โต 78% YoY และ power supply ที่โต 23% YoY ส่วนแผงวงจรและเซมิคอนดักเตอร์ แม้ยังติดลบแต่ปรับตัวดีขึ้น ด้านการส่งออกยางธรรมชาติเพิ่มขึ้น 33% YoY มูลค่า 456 ล้านดอลลาร์ โดยยางแท่งโต 21% YoY และถุงมือยางโต 29% YoY ขณะที่อาหารสัตว์เลี้ยงโต 17.6% YoY มูลค่า 231 ล้านดอลลาร์ แม้จะเป็นการเติบโตต่ำสุดในปีนี้ ด้านการนำเข้าขยายตัว 15.9% YoY สูงกว่าคาดการณ์ที่ 6.4% และเร่งตัวขึ้นจาก 9.9% ในเดือนก่อนหน้า

2.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม จะเสนอต่ออายุมาตรการค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย สำหรับรถไฟฟ้าสายสีแดงและสายสีม่วงออกไปอีก 1 ปี พร้อมเร่งผลักดัน พ.ร.บ.ตั๋วร่วมที่จะทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสายราคา 20 บาท คาดว่าจะประกาศใช้ได้ในกันยายน 2568 โดยจะเสนอเข้าที่ประชุม ครม. วันที่ 3 ธันวาคม 2567

3.รัฐบาลเตรียมอัดฉีดเงิน 11,000 ล้านบาทเข้าสู่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนทั่วประเทศในไตรมาสแรกปี 2568 เป็นส่วนหนึ่งของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 3 เฟส ต่อเนื่องจากการแจกเงิน 10,000 บาทให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการและผู้พิการ โดยเฟส 2 จะแจกเงินผู้สูงอายุก่อนตรุษจีน และเฟส 3 จ่ายผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก

4.รายงานการประชุมเฟดแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่สนับสนุนแนวทางการลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปในอนาคต เนื่องจากเศรษฐกิจยังแข็งแกร่งและเงินเฟ้อค่อยๆ ลดลง โดยเฟดได้ลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 bps เป็น 4.5-4.75% ในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม มีความกังวลว่านโยบายที่ทรัมป์เสนอ เช่น การขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) การลดภาษีเงินได้ และการเนรเทศผู้อพยพจำนวนมาก อาจสร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ

5.ทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม 10% กับสินค้าจากจีน และ 25% กับสินค้าทั้งหมดจากแคนาดาและเม็กซิโก ในวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง โดยอ้างเหตุผลด้านการควบคุมยาเสพติดและผู้อพยพผิดกฎหมาย ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แคนาดาร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี เงินเปโซเม็กซิโกอ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่ปี 2022 ขณะที่หยวนจีนอ่อนค่าลงเล็กน้อย การประกาศนี้สวนทางกับความคาดหวังว่าทรัมป์จะผ่อนปรนนโยบายการค้าในสมัยที่สอง หลังจากเพิ่งแต่งตั้ง Scott Bessent เป็นรัฐมนตรีคลัง

6.ประธานาธิบดีไบเดนประกาศว่าอิสราเอลบรรลุข้อตกลงหยุดยิง 60 วันกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน หลังการเจรจาที่สหรัฐฯ เป็นตัวกลาง โดยนายกฯ เนทันยาฮูระบุว่าจะทำให้อิสราเอลสามารถมุ่งเน้นที่ “ภัยคุกคามจากอิหร่าน” และเพิ่มแรงกดดันในสงครามกับฮามาสในฉนวนกาซา ทั้งนี้ ความขัดแย้งที่ผ่านมาทำให้มีผู้เสียชีวิตในเลบานอนกว่า 3,100 คน และประชาชนกว่า 1.2 ล้านคนต้องพลัดถิ่น

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

OSP : ราคาพื้นฐาน 29.10 บาท

เราคงมุมมองเชิงบวกต่อ OSP ในไตรมาส 4/2567 ที่คาดว่าจะฟื้นตัวได้จากการดำเนินงานหลักที่จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดหลังจากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในไตรมาส 3/2567 และคาดว่าธุรกิจส่งออกเครื่องดื่มชูกำลังในต่างประเทศจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดว่าจะดีขึ้นในไตรมาส 4/2567 จากกลยุทธ์การทำสินค้าพรีเมียมและอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายต่างประเทศที่ดีกว่าในประเทศ นอกจากนี้คาดว่าจะได้ประโยชน์จากราคาแก๊สที่มีแนวโน้มลดลงในปี 2568 ด้วย

TASCO : ราคาพื้นฐาน 21.00 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ TASCO จากความต้องการยางมะตอยที่เร่งตัวสูงขึ้นหลังการกลับมาเบิกจ่ายภาครัฐ ภายหลังการชะงักในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2567 โดยคาดว่าราคายางมะตอยในประเทศจะยังแข็งแกร่งจากความต้องการและการลงทุนภาครัฐที่เบิกจ่ายได้ราบรื่น และงบประมาณกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทที่เพิ่มขึ้น 8% ในปีงบประมาณ 2568 จะช่วยรักษาความต้องการในประเทศให้อยู่ในระดับสูง ขณะที่แนวโน้มต้นทุนมีทิศทางบวกจากราคาน้ำมันดิบที่คาดว่าจะลดลง รวมถึงการนำเข้า heavy crude oil อย่างน้อย 2 ลำในปีหน้าเพื่อกลั่นผลิตยางมะตอย จะช่วยให้อัตรากำไรในปี 2568 ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีอัตราเงินปันผลที่ราว 6% ที่เป็นปัจจัยสนับสนุนอีกด้วย

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันพุธ ติดตามตัวเลข ดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคพื้นฐานส่วนบุคคล (Core PCE Price Index) ของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 2.8% YoY เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 2.7% YoY ต่อด้วย ยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) ของสหรัฐเดือน ต.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 0.4% MoM เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -0.7% MoM และปิดท้ายด้วย การรายงานของ GDP ใน 3Q24 ของสหรัฐครั้งที่สอง ตลาดคาดการณ์ที่ 2.8% QoQ ทรงตัวจากครั้งก่อนหน้า
  • วันพฤหัสฯ ติดตามการประชุมธนาคารกลางเกาหลีใต้ครั้งสุดท้ายของปีนี้ ตลาดคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.25% และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ยูโรโซน เดือน พ.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -13 จุด
  • วันศุกร์ ติดตามตัวเลขส่งออก (Export) ของ ธปท. เดือน ต.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 1.1% YoY และตัวเลขนำเข้า (Import) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 9.5% YoY
- Advertisement -