Daily Focus: คาดดัชนียัง Sideways / / ตลาดเพิ่มโอกาส FED ลดดอกเบี้ย สัปดาห์หน้า
2025 SET Target: 1600
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัว Sideways ตามคาด โดยดัชนีปิดบวกเล็กน้อย 1.14 จุด ที่ระดับ 1,451.96 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่สูงขึ้นเป็น 4.4 หมื่นลบ. แต่มี Big Lot ของ INTUCH-F มูลค่า 7.5 พันลบ. นอกจากนี้กลุ่ม GULF ยังปรับตัวขึ้นจากการลงนามสัญญา Data Center กับ Siam AI สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องและเร่งขึ้นเป็น 2.1 พันลบ. ส่วนนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิอีก 1.6 พันลบ. (สถานะสุทธิใน Index Futures เบาบางนัยยะ)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,440-1,460 จุด โดยยังคงอยู่ในช่วงคาบเกี่ยววันหยุด ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจภาคแรงงานสหรัฐฯเดือนพ.ย. ไม่ร้อนแรงหรืออ่อนแอจนเกินไป การจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 2.27 แสนตำแหน่ง ดีกว่าตลาดคาดเล็กน้อย ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น 0.4% m-m, +4% Y-Y, สูงกว่าคาดเล็กน้อย ส่วนอัตราว่างงานขยับขึ้นเป็น 4.2% ตามคาด ทำให้ตลาดปรับเพิ่มความน่าจะเป็นที่ FED จะลดดอกเบี้ย 25 bps สัปดาห์หน้าเป็น 85% และคาดปรับลงต่ออีก 50-75 bps ในปีหน้า ส่วนปัจจัยในประเทศยังไม่มีประเด็นใหม่ โดยต้องติดตามว่าครม.จะมีการออกมาตรการสนับสนุนการใช้จ่ายส่งท้ายปีหรือไม่ในการประชุมที่เหลือในเดือน ธ.ค. ภาพรวมดัชนีคาดว่าอยู่ในช่วงสร้างฐานและทยอยฟื้นตัวได้จากแรงหนุนของสถาบันในประเทศที่ซื้อสุทธิต่อเนื่อง ทั้งจาก VAYU1 และแรงซื้อ SSF TESG ท้ายปี ระยะกลาง-ยาว ยังคาดหวังภาพเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในช่วงทยอยเร่งตัวใน 4Q24 จาก High Season ของการใช้จ่ายและการท่องเที่ยว รวมถึงปี 2025 ที่มองภาคการลงทุนทั้งรัฐและเอกชนจะเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักหนุนการเติบโต จะช่วยหนุนให้ดัชนีทยอยไต่ระดับขึ้นในปีหน้า
กลยุทธ์ : เน้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไร 4Q24-2025 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน ธ.ค. : AAV, BDMS, CPALL, MAGURO, RBF
FSSIA Portfolio: BA, CHG, CPALL, KTB, MTC, NSL, RBF, SEAFCO, SHR, WHA
หุ้นเด่น Finansia 9 ธ.ค. 24 : NSL
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 43 บาท
- โมเมนตัมกำไร 4Q24 คาดว่ายังแข็งแกร่งต่อเนื่อง เติบโตทั้ง q-q และ y-y หนุนจากทั้งปัจจัยฤดูกาล รวมถึงผลบวกจากสินค้าใหม่ๆที่ขายดี เช่น ช็อกโกแลตดูไบของ Bake a Wish ขณะที่บ.ลูกๆคาดทยอยขาดทุนลดลงต่อเนื่อง
- เราคาดกำไรปี 2024-25 ที่ 523 ลบ. +57% y-y และ 591 ลบ. +13% y-y ตามลำดับ ราคาหุ้นที่พักตัวลงเกือบ 20% จาก High และทำให้ 2025PER ลดลงเหลือเพียง 15.7 เท่า เรามองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนอีกครั้ง
- แนวรับ 30-29.50 บาท แนวต้าน 32//33 บาท
Fund Flow : เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนไม่ได้หนาแน่นนัก สุทธิแล้วไหลออกจากภูมิภาค US$255 ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$175 ล้าน ส่วนไต้หวันไหลออกบางๆ US$30 ล้าน ด้านอาเซียนเม็ดเงินไหลออกเกือบทุกประเทศ สูงสุดที่ไทย US$47 ล้าน และมีเพียงเวียดนามที่ไหลเข้า US$14 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ามีโอกาสพลิกมาไหลเข้าหลังตัวเลขเศรษฐกิจภาคแรงงานสหรัฐฯออกมาไม่แข็งแกร่งหรืออ่อนแอจนเกินไปและเปิดโอกาสให้ FED ลดดอกเบี้ยได้ ภาพรวมจึงยังเอื้อให้เม็ดเงินทยอยไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) กลุ่มการแพทย์ คณะกรรมการแพทย์ อนุมัติให้ SSO ปรับระบบการเบิกรักษา high cost care เป็น fixed ที่ THB12,000/RW โดยปรับเป็นงบแบบปลายเปิด จะทำให้ไม่มีปัญหางบไม่พออีกต่อไป มองเป็นข่าวดีในระยะยาว ขั้นตอนต่อไปจะมีการนำวาระเข้าบอร์ดไตรภาคีเพื่ออนุมัติอย่างเป็นทางการ วันที่ 11 ธันวาคม และจะมีการเซ็นสัญญากับโรงพยาบาลเอกชนกันวันที่ 13 ธันวาคม ในส่วนของการจ่ายในปีนี้คาดว่างบประมาณจะไม่พอ โดย SSO มีกรอบมาว่าอาจจะจ่ายได้ที่ประมาณ THB7,200-9,000/RW และกระทบประมาณ 3-6 งวดสุดท้ายของปีนี้ กรณี worst case คาดว่า BCH, CHG, PHG และ VIH ได้รับผลกระทบประมาณ 120 ล้าน, 85 ล้าน, 29 ล้าน และ 23 ล้าน ตามลำดับ แต่ในระยะสั้นงบ 4Q24 จะโดนกดดัน เพราะคาดว่าบางโรงพยาบาลอาจจะเลือกที่จะตั้งสำรองในปีนี้เลย
(+) SISB คาดกำไร 4Q24 ที่ 247 ลบ, +13% q-q, +17% y-y ทำสถิดิสูงสุดใหม่ เพราะได้ประโยชน์เต็มไตรมาสจากนักเรียนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือน ส.ค. ซึ่งเป็นเทอมการศึกษาใหม่ และการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการศึกษาประจำปีเฉลี่ย 5% ขณะที่ต้นทุนและ ค่าใช้จ่ายคงที่รับรู้เข้ามาตั้งแต่ 3Q24 และทำให้กำไรทั้งปี 2024 +36% y-y เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2024-26 ลงเล็กน้อย มาจากการปรับลดจำนวนนักเรียนให้สอดคล้องกับเป้าของบริษัท แต่ยังเติบโตเฉลี่ย 18% CAGR ราคาเป้าหมายใหม่ 42 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(0) NEO คาดกำไรสุทธิ 4Q24 +17% q-q และ +88% y-y จากการฟื้นตัวของรายได้ทั้งในประเทศและส่งออก อย่างไรก็ตามอัตรากาไรขันต้นในปี 2025 น่าจะถูกกดดันจากค่าเสื่อมที่สูงขึ้นจากโรงงานใหม่และต้นทุนวัตถุดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ลง 12% เป็น -5% y-y โดยปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นของเราลง 1.2% จากการปรับเพิ่มราคาน้ำมันปาล์มดิบขึ้นจากความต้องการที่สูงขึ้นได้ราคาเป้าหมายใหม่ 49.50 บาท ราคาหุ้นได้ลดลงไปแล้ว 40% ซึ่งสะท้อนความกังวลส่วนมากแล้ว ทำให้ Valuation อยู่ในระดับที่น่าสนใจ แนะนำ “ซื้อ”
(0) คาดการณ์หุ้นเข้าออก SET50/100 งวด 1H25 สำหรับ SET50 คาดหุ้นเข้า BANPU SAWAD COM7 CCET หุ้นออก TIDLOR CENTEL BCP EA ส่วนด้าน SET100 คาดหุ้นเข้า CCET JTS TVO AURA หุ้นออก MBK SKY TIPH RBF โดยตลท.จะประกาศอย่างเป็นทางการช่วงกลางเดือน ธ.ค.
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 123.19 จุด หรือ -0.28%, ปิดที่ 44,642.52 จุด โดยถูกกดดันจากหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ กรุ๊ป (UnitedHealth Group) ซึ่งร่วงลง 5.1% ขณะที่ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานซึ่งบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในเดือนนี้
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกในวันศุกร์ (6 ธ.ค.) โดยตลาดหุ้นฝรั่งเศสปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบ 3 สัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนปรับตัวรับแนวโน้มการออกงบประมาณใหม่ แม้ยังคงมีความไม่แน่นอนทางการเมืองอย่างต่อเนื่องก็ตาม ขณะเดียวกัน นักลงทุนประเมินข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐฯ
(0) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวกสลับลบ รอการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อของประเทศจีน
(+) ค่าเงินบาท แข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 34.05 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.28 %
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 1.10 ดอลลาร์ หรือ 1.61% ปิดที่ 67.20 ดอลลาร์/บาร์เรล ปิดลดลงมากกว่า 1% ในวันศุกร์ (6 ธ.ค.) และลดลงในรอบสัปดาห์ หลังจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ปริมาณน้ำมันจะล้นตลาดในปีหน้า เนื่องจากมีความต้องการที่อ่อนแอ แม้ว่ากลุ่มโอเปกพลัสได้ตัดสินใจเลื่อนการเพิ่มกำลังการผลิตและขยายเวลาปรับลดการผลิตไปจนถึงปลายปี 2569 ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 67.19 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.01%
(+) ราคาทองคำตลาด COMEX เพิ่มขึ้น 11.20 ดอลลาร์ หรือ 0.42% ปิดที่ 2,659.60 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากการรายงานข้อมูลจ้างงานเดือนพ.ย.ของสหรัฐฯ บ่งชี้ว่า ตลาดแรงงานชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 2,651.20 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 0.32%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 871.94/-
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
9 ธ.ค. | จีน: เงินเฟ้อ (พ.ย.) |
10 ธ.ค. | จีน: ส่งออก (พ.ย.) ออสเตรเลีย: ประชุมธนาคารกลาง |
11 ธ.ค. | สหรัฐ: เงินเฟ้อ (พ.ย.) แคนนาคา: ประชุมธนาคารกลาง |
12 ธ.ค. | ยูโรโซน: ประชุม ECB สหรัฐ: Core PPI (พ.ย.), initial Jobless Claims (ธ.ค./07) |
13 ธ.ค. | จีน: New Yuan Loans (พ.ย.) |