KS Daily View 24.12.2024 >>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น หนุนจากหุ้นเทคใหญ่ คาด SET Sideway up ในกรอบ 1,370-1,400 จุด แนะนำ TIDLOR, OSP
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น โดย S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.73% ปิดที่ 5,974.07 จุด Nasdaq Composite เพิ่มขึ้น 0.98% และ Dow Jones เพิ่มขึ้น 0.16% แม้จะเผชิญแรงกดดันจากตัวเลขความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อ่อนแอกว่าคาด แต่ตลาดได้แรงหนุนสำคัญจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะ Nvidia ที่พุ่งขึ้น 3.7% รวมถึง Tesla Meta และ Alphabet ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 1-3% นอกจากนี้ หุ้น Eli Lilly ปรับตัวขึ้น 3.7% หลังได้รับการอนุมัติจาก FDA สำหรับยา Zepbound ให้รักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับสำหรับผู้ป่วยโรคอ้วน นอกจากนี้ยังได้รับแรงหนุนจากการที่ประธานาธิบดีไบเดนลงนามในกฎหมายขยายงบประมาณ ช่วยหลีกเลี่ยงการปิดหน่วยงานรัฐบาล (Government Shutdown) ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงปลายปี
ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,386.91 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 22 จุด หลังจากที่ทดสอบแนวรับสำคัญที่ 1,360 จุด โดยได้แรงหนุนจากตัวเลขเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core PCE) ของสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลงเมื่อวันศุกร์ ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ การฟื้นตัวเกิดขึ้นในวงกว้างสอดคล้องกับตลาดในภูมิภาค โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมที่ปิดบวก 22 กลุ่ม นำโดยหุ้นกลุ่มสื่อสาร ค้าปลีก ขนส่ง อิเล็กทรอนิกส์ โรงพยาบาล การเงิน และธนาคาร ด้านนักลงทุนต่างชาติและสถาบันเป็นผู้ซื้อสุทธิ 2,245 ล้านบาท และ 508 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้คาดว่าตลาดมีแนวโน้ม Sideway up ในกรอบ 1,370 – 1,400 จุด แนะนำ TIDLOR, OSP
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1. บอร์ดไตรภาคีมีมติปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำปี 2568 แตกต่างกันตามพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีค่าครองชีพสูงและเขตเศรษฐกิจพิเศษ ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และอำเภอเกาะสมุย จะได้รับค่าแรง 400 บาท ส่วนอำเภอเมืองเชียงใหม่และหาดใหญ่ได้ 380 บาท กรุงเทพฯ และปริมณฑลได้ 372 บาท และ 67 จังหวัดที่เหลือได้รับการปรับขึ้น 2% ซึ่งทำให้ค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศปรับขึ้นเฉลี่ย 2.9% หรือ 7-55 บาทต่อวัน โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568
2. ยอดคำสั่งซื้อสินค้าทุนหลัก (ไม่รวมเครื่องบิน) ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนพฤศจิกายน 2024 จากความต้องการเครื่องจักรที่แข็งแกร่ง และยอดขายบ้านใหม่เพิ่มขึ้น 5.9% แสดงถึงเศรษฐกิจที่ยังแข็งแรง อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง 8.1 จุด เหลือ 104.7 ในเดือนธันวาคม เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับแผนการขึ้นภาษีนำเข้าของรัฐบาลทรัมป์ที่กำลังจะเข้ามาบริหารในปี 2025 โดย 46% ของผู้บริโภคคาดว่าภาษีนำเข้าจะทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น แม้ว่าพวกเขายังคงมองบวกต่อตลาดแรงงาน
3. สำนักงานประกันสังคมรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานปี 2567 โดยมีผู้ประกันตนในระบบกว่า 24.8 ล้านคน และมีเงินกองทุนสะสมกว่า 2.6 ล้านล้านบาท ในปี 2568 จะมีโรงพยาบาลเข้าร่วมใหม่ 7 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลรัฐ 4 แห่ง (รพ.จุฬาภรณ์ รพ.กาญจนดิษฐ์ รพ.ราชวิถี 2 รพ.ผู้สูงอายุบางขุนเทียน) และโรงพยาบาลเอกชน 3 แห่ง (รพ.วัฒนแพทย์สมุย รพ.พญาไทศรีราชา 2 และรพ.ราชธานี หนองแค) โดยไม่มีโรงพยาบาลใดถอนตัวจากระบบ พร้อมกันนี้ยังได้เพิ่มสิทธิประโยชน์หลายด้าน เช่น เพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรเป็น 1,000 บาท และขยายการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ผ่านโครงการ SSO 515 ที่ครอบคลุม 5 โรคสำคัญ
4. โดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาขู่จะยึดคืนคลองปานามา โดยอ้างว่าปานามาเก็บค่าผ่านทางแพงเกินไป และแสดงความกังวลเรื่องอิทธิพลของจีน แม้ว่าจีนจะเพียงบริหารท่าเรือสองแห่งผ่านบริษัทในเครือที่ตั้งอยู่ในฮ่องกงเท่านั้น ด้านประธานาธิบดีปานามา โฮเซ ราอุล มูลิโน ตอบโต้ว่าเอกราชของปานามาไม่ใช่สิ่งที่ต่อรองได้ และยืนยันว่าคลองปานามาจะเป็นของปานามาตลอดไป โดยคลองปานามามีความสำคัญต่อการค้าทางทะเลโลก 2.5% และมีเรือขนส่งผ่านถึง 14,000 ลำต่อปี ทั้งนี้สหรัฐได้ส่งมอบการควบคุมคลองให้ปานามาตั้งแต่ปี 1999 ตามข้อตกลงที่ลงนามในปี 1977
5. Honda และ Nissan ลงนามข้อตกลงเบื้องต้นในการควบรวมกิจการ โดยจะจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งที่จะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในเดือนสิงหาคม 2026 Honda จะมีสิทธิ์แต่งตั้งกรรมการส่วนใหญ่และประกาศซื้อหุ้นคืน 7 พันล้านดอลลาร์ Mitsubishi Motors ที่ Nissan ถือหุ้น 24.5% อาจเข้าร่วมด้วย บริษัทคาดกำไรจากการดำเนินงานจะเกิน 1 ล้านล้านเยนและเพิ่มเป็น 3 ล้านล้านเยนในอนาคต การควบรวมนี้มีเป้าหมายเพื่อรับมือการแข่งขันที่รุนแรงจากจีน โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่ง Nissan กำลังประสบปัญหายอดขายตกต่ำในสหรัฐฯ และจีน
Daily pick
TIDLOR : ราคาพื้นฐาน 23.00 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ TIDLOR จากแรงหนุนด้านความเชื่อมั่นหลังการประชุมไตรภาคีมีมติปรับขึ้นค่าแรงเป็น 400 บาทใน 4 จังหวัดและ 1 อำเภอ พร้อมเพิ่มค่าจ้างวันละ 7-55 บาทในพื้นที่อื่น นอกจากนี้ การเร่งจัดเก็บหนี้ในไตรมาส 4/2567 หลังการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ตั้งแต่ปี 2566 จะส่งผลให้คุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 และมีโอกาสพัฒนาต่อเนื่องในปีหน้าจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เราคาดว่าสินเชื่อในปี 2568 จะเติบโต 10-15% ขณะที่การเติบโตของรายได้ประกันจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นตั้งแต่ปี 2568
OSP : ราคาพื้นฐาน 27.60 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ OSP จากสองปัจจัยหลัก คือ การเพิ่มกำลังซื้อจากการปรับขึ้นค่าแรงในปี 2568 ซึ่งจะช่วยสนับสนุนยอดขายเครื่องดื่มชูกำลังระดับพรีเมียมราคา 12 บาท และการลดลงของต้นทุนในหลายด้าน ทั้งราคาก๊าซธรรมชาติที่คาดว่าจะปรับตัวลงจากอุปทาน LNG ใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาด ราคาน้ำตาลที่มีแนวโน้มลดลง 5-10% และราคาเศษแก้วซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่ได้ปรับตัวลง 10-15% ตั้งแต่ไตรมาส 3/2567 นอกจากนี้ ในปี 2568 จะไม่มีภาระจากการขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักมากระทบงบการเงินอีก
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันอังคาร ติดตามยอดขายรถใหม่ของประเทศไทย (New car sales) เดือน พ.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้า 37,691 คัน ต่อด้วยดัชนีภาคการผลิตของรัฐริชมอนด์ (Richmond Manufacturing Index) ของสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -14 จุด
- วันพุธ ติดตามรายงานตัวเลขส่งออกจากกระทรวงพาณิชย์ (TH MOC Export) เดือน พ.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 7.0% YoY ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 14.6% YoY และตัวเลขนำเข้า (TH MOC Import) ตลาดคาดการณ์ที่ 1.2% YoY ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 15.9% YoY
- วันพฤหัสฯ ติดตามการรายงานจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (US Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.20 แสนตำแหน่ง
- วันศุกร์ ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจญี่ปุ่น เช่น อัตราการว่างงาน (Japan Unemployment Rate) เดือน พ.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 2.5% YoY เท่ากับเดือนก่อนหน้า ต่อด้วยดัชนียอดค้าปลีก (Japan Retail Sales) เดือน พ.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 1.8% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 1.6% YoY และปิดท้ายด้วยตัวเลขส่งออก (Exports) ของ ธปท. เดือน พ.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 14.2% YoY และตัวเลขนำเข้า (Imports) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 17.1% YoY