SABINA มั่นใจไม่กระทบหลังปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมีผล 1 ม.ค. 68 เผยใช้ระบบ ‘ลีน’ ลดต้นทุน-เพิ่มประสิทธิภาพผลิต รับมือล่วงหน้า 2 ปี พร้อมรอรับปัจจัยบวกกำลังซื้อเพิ่มขึ้นจากค่าแรงขยับ-รัฐไฟเขียวช้อปลดภาษี อีซี่ อี-รีซีท 2.0
SABINA มั่นใจดีเดย์ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 1 ม.ค.2568 ไม่มีผลกระทบ เผยเตรียมตัวรับมือเข้มข้นนาน 2 ปี หลังใช้ระบบ “ลีน” เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการสูญเสีย ลดต้นทุน พร้อมบริหารจัดการโครงสร้างพนักงาน รวมถึงโครงสร้างค่าใช้จ่ายรับมือค่าแรงเพิ่มล่วงหน้า ชี้ค่าแรงไม่ได้ขึ้น 400 บาทอัตราเดียวทั่วประเทศถือเป็นปัจจัยบวก มั่นใจได้รับผลดีจากความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากการปรับค่าแรง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช้อปลดหย่อนภาษี “อีซี่ อี-รีซีท 2.0” ที่เริ่มระหว่าง 16 ม.ค.ถึง 28 ก.พ.2568
นางสาวดวงดาว มหะนาวานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซาบีน่า จำกัด (มหาชน) หรือ SABINA ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “ซาบีน่า” เปิดเผยว่า หลังจากที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง มีมติเห็นชอบการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2568 โดยให้ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มในอัตราวันละ 7-55 บาท หรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.9% โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไปนั้น SABINA ไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำดังกล่าว เนื่องจากที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เตรียมรับมือกับปัจจัยดังกล่าวล่วงหน้าแล้วเป็นเวลา 2 ปี ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการโครงสร้างพนักงาน การบริหารจัดการโครงสร้างค่าใช้จ่าย รวมถึงการพัฒนากระบวนการผลิต เพื่อนำไปสู่การลดต้นทุนเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายด้านค่าแรงที่เพิ่มขึ้น
“เราเริ่มนำระบบ “ลีน” (Lean Manufacturing) มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียหรือ waste ต่างๆ ในกระบวนการผลิต หลังจากใช้ระบบ “ลีน” จนทำให้กระบวนการผลิตกระชับขึ้น และสามารถบริหารต้นทุนได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน เรายังพบว่างานบางส่วนไม่จำเป็นต้องใช้จำนวนคนเท่าเดิม เราจึงเพิ่มเรื่องของการฝึกทักษะ ทั้ง Multi-Skill และ Up-Skill ให้พนักงานได้พัฒนาตัวเอง ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ สามารถใช้เครื่องมือที่ทันสมัยได้ ด้วยวิธีนี้ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้น ต้นทุนลดลง และบริษัทฯ สามารถดูแลคนทำงานได้ดีขึ้น ดังนั้น การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในรอบนี้SABINA จะไม่ได้รับผลกระทบและจะสามารถรับมือได้เป็นอย่างดี ด้วยการวางระบบและจัดโครงสร้างต่างๆ ที่เราทำมาแล้วอย่างเข้มข้น” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SABINA กล่าว
ทั้งนี้ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา SABINA ยังรับมือกับปัจจัยการขึ้นค่าแรง ด้วยการวางแผนให้โรงงานทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น โรงงานยโสธร ชัยนาท ท่าพระ และพุทธมณฑลสาย 5 ได้ทดลองทำเวิร์คช็อปรับมือกับค่าแรงขั้นต่ำในอัตรา 400 บาท ทำให้ทุกโรงงานมองเห็นภาพว่า ถ้าค่าแรงมีการปรับขึ้นจริง จะควบคุมต้นทุนในส่วนไหนได้อย่างไร ซึ่งจากการบริหารจัดการและการทำเวิร์คช็อปอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 2566 ทำให้ทุกโรงงานเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนได้อย่างชัดเจน และเมื่อการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมีผลบังคับใช้จริง บริษัทฯ จึงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
ส่วนที่ถือว่าเป็นปัจจัยบวกสำหรับ SABINA คือ ค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้ปรับขึ้น 400 บาทอัตราเดียวทั้งประเทศ แต่เป็นการปรับขึ้นแบบแบ่งเป็น 17 อัตรา ตามค่าครองชีพและโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การที่ต้นทุนค่าแรงจะไม่ได้ถูกปรับเพิ่มขึ้นในเรทสูงสุดอัตราเดียว จึงถือเป็นเรื่องที่ดีในส่วนของต้นทุนค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกัน SABINA ยังอาจจะได้รับปัจจัยสนับสนุนด้านการขายจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำ เนื่องจากสินค้า SABINA เป็นสินค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภค และช่วงไตรมาสแรกของปี จะเป็นช่วงที่ผู้บริโภคมีความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย ผนวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ ที่อนุมัติโครงการอีซี่ อี-รีซีท (Easy E-receipt) 2.0 ที่ผู้บริโภคสามารถนำค่าใช้จ่ายจากการจับจ่ายใช้สอยกับร้านค้าที่ออกใบกำกับภาษีในรูปแบบอิเลคทรอนิคส์ วงเงิน 50,000 บาท ที่จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 16 มกราคมถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 ไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2568 จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนยอดขายในช่วงไตรมาสแรกปีหน้าของ SABINA อีกด้วย