KS Daily View 26.12.2024 >>>ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น ปิดที่แนว 1,400 จุด มูลค่าการซื้อขายเบาบาง โดยตลาดในภูมิภาคส่วนใหญ่ปิดทำการในวันคริสต์มาส คาดตลาดน่าจะ Sideway ที่ระดับนี้ในกรอบ 1,390 – 1,410 แนะนำ AAI, TASCO
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นหลายแหล่งปิดทำการเนื่องในวันคริสต์มาส ได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป ฮ่องกง เกาหลีใต้ อินเดีย รวมถึงในภูมิภาคอาเซียนด้วย โดยตลาดหุ้นที่เปิดทำการได้แก่ญี่ปุ่นที่ปิดบวกเล็กน้อย 0.24% โดยวานนี้ผู้ว่าคาซุโอะ อูเอดะ ได้กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมธุรกิจที่กรุงโตเกียว ซึ่งหลีกเลี่ยงการส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมกราคม โดยเน้นถึงความจำเป็นในการติดตามความเสี่ยงของเศรษฐกิจโดยเฉพาะนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยตลาดมองโอกาส 46% ในการขึ้นดอกเบี้ยเดือนมกราคมและ 82% สำหรับการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม ด้านตลาดหุ้นจีน CSI 300 ทรงตัว ไม่ได้ตอบรับกับข่าวที่กระทรวงการคลังเตรียมออกพันธบัตรพิเศษมูลค่า 3 ล้านล้านหยวนมากนัก
ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,400.85 จุด เพิ่มขึ้น 6.18 จุด (+0.44%) มูลค่าการซื้อขายเบาบางที่ราว 2.9 หมื่นล้านบาท ดัชนีแกว่งตัวในกรอบระหว่าง 1,395-1,403 จุด ทดสอบแนวต้านสำคัญที่ 1,400 จุด การปรับตัวขึ้นส่วนหนึ่งมาจากการ Cover Short ในหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาลดลงมากก่อนหน้านี้ ตัวเลขการส่งออกเดือนพฤศจิกายนจะเพิ่มขึ้น 8.2% แต่ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 9% ทำให้ไม่มีแรงหนุนใหม่ในช่วงบ่าย อย่างไรก็ตาม 20 กลุ่มอุตสาหกรรมปิดบวก นำโดยกลุ่มพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ และธนาคาร ขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ โรงพยาบาล และค้าปลีกกดดันตลาด เรามองว่าวันนี้ตลาดน่าจะ Sideway ในกรอบ 1,390 – 1,410 แนะนำ AAI, TASCO
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
- การส่งออกไทยเดือนพฤศจิกายน 2567 เติบโต 8.2% เทียบกับปีก่อน ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 9.0% และชะลอลงจาก 14.6% ในเดือนตุลาคม โดยการเติบโตมาจากทั้งภาคเกษตร (+4.1%) อุตสาหกรรมเกษตร (+7.7%) และการผลิต (+9.5%) สินค้าส่งออกสำคัญที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ (+40.8%) เครื่องปรับอากาศ (+35.8%) และผลิตภัณฑ์ยาง (+24.8%) ด้านอาหารสัตว์เลี้ยงส่งออกได้ 231 ล้านดอลลาร์ (+20.6%) แต่เริ่มชะลอตัวลงต่อเนื่อง 3 เดือน ขณะที่ยางธรรมชาติส่งออกได้ 412 ล้านดอลลาร์ (+14% YoY, -10% MoM) และอิเล็กทรอนิกส์ส่งออกได้ 4.5 พันล้านดอลลาร์ (+10% YoY, -9% MoM) ทั้งนี้คาดการส่งออกทั้งปี 2567 จะทำสถิติสูงสุดที่ 3 แสนล้านดอลลาร์ โต 5.2% และจะเติบโตต่อ 2-3% ในปี 2568
- รัฐบาลเตรียมดึงการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต 5 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ Data Center/AI, EV, Agri Tech, Food Tech และ Semiconductor/R&D โดยมีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เข้ามาลงทุนแล้วและเตรียมขยายเพิ่ม เช่น AWS, Google, Microsoft, Huawei และล่าสุด TikTok เตรียมลงทุน 2 แสนล้านบาท คาดปี 2568 จะมีเม็ดเงินลงทุนใหม่และขยายการลงทุนรวม 5 แสนล้านบาท พร้อมปรับกฎระเบียบให้เอื้อต่อการลงทุน เช่น ลดเวลาพิจารณา BOI เหลือ 6 เดือน และลดขั้นตอน อย. เหลือ 90 วัน เพื่อยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนเทียบชั้นสวิตเซอร์แลนด์แห่งเอเชีย ขณะที่ภาครัฐเตรียมเบิกจ่ายงบลงทุน 3 กระทรวงหลักราว 7 แสนล้านบาท
- สภาผู้บริโภคร่วมกับองค์กรแรงงานยื่นหนังสือให้ กกพ. ทบทวนโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเฟส 2 ขนาด 2,145.5 เมกะวัตต์ ที่ใช้วิธีคัดเลือกแทนการประมูลและกำหนดราคารับซื้อคงที่ที่ 2.17 บาท/หน่วยสำหรับพลังงานแสงอาทิตย์ และ 3.10 บาท/หน่วยสำหรับพลังงานลม เป็นเวลา 25 ปี โดยชี้ว่าราคาดังกล่าวจะสูงกว่าราคาตลาด 20-30% เมื่อเริ่มโครงการในปี 2569-2571 เทียบกับราคาเฉลี่ยโซลาร์เซลล์ทั่วโลกที่ 1.53 บาท/หน่วย จะสร้างภาระให้ผู้บริโภคกว่า 65,000 ล้านบาทตลอดอายุสัญญา พร้อมเรียกร้องให้เร่งทำแผน PDP2024 ที่เน้นการพึ่งพาตนเองและส่งเสริมให้ประชาชนเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าได้
- กพช. มีมติสำคัญ 2 เรื่องเกี่ยวกับพลังงานทดแทน: 1) ขยายมาตรการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนส่วนเพิ่มไม่เกิน 2 ปี โดยกำหนดราคารับซื้อชีวมวล/ก๊าซชีวภาพ/ขยะที่ 2.20 บาท/หน่วย โซลาร์ที่ 1.00 บาท/หน่วย และลมที่ 0.50 บาท/หน่วย 2) ชะลอโครงการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เฟส 2 กำลังผลิต 3,668.5 เมกะวัตต์ และการลงนามสัญญากับ 3 การไฟฟ้า เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง นอกจากนี้ยังเห็นชอบขยายการรับซื้อไฟฟ้าจากเทินหินบุน 20 เมกะวัตต์ และขยายอายุโรงไฟฟ้าน้ำพองออกไปอีก 1 ปี
- โตโยต้ารายงานยอดผลิตรถยนต์ทั่วโลกเดือน พ.ย. 2567 ลดลง 6.2% เหลือ 869,230 คัน จากการหยุดผลิตชั่วคราวที่โรงงานในญี่ปุ่นเพื่อตรวจสอบอุปกรณ์และวันทำงานที่ลดลงในยุโรป โดยการผลิตในประเทศลดลง 9.3% และต่างประเทศลดลง 4.6% อย่างไรก็ตาม ยอดขายทั่วโลกกลับเพิ่มขึ้น 1.7% แตะ 920,569 คัน นำโดยจีนที่เพิ่มขึ้น 7% เป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือนจากมาตรการกระตุ้นของรัฐ และอเมริกาเหนือที่เพิ่มขึ้น 4.1%
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
- AAI : ราคาพื้นฐาน 7.80 บาท
เราแนะนำเก็งกำไรในกลุ่มอาหารสัตว์หลังยอดส่งออกเดือนพฤศจิกายนเติบโต 21% เทียบปีก่อน ทำให้ผลการดำเนินงานตั้งแต่ต้นไตรมาส (ต.ค. – พ.ย.) เติบโต 19% นำโดยการส่งออกไปสหรัฐฯ ขณะที่จีนและสหภาพยุโรปเติบโต 9% คาด AAI จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 4/2024 เติบโตในระดับสองหลัก โดยมูลค่าหุ้นไม่แพงที่ PE’68 12 เท่า และมีปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทที่มีโอกาสอ่อนค่าในปี 2568 รวมถึงความต้องการอาหารสัตว์ในระยะยาวที่ยังแข็งแกร่ง
- TASCO : ราคาพื้นฐาน 21.00 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ TASCO จากสองปัจจัยสำคัญ คือ 1) คาดการณ์อุปสงค์ยางมะตอยในประเทศที่จะแข็งแกร่งถึงไตรมาส 2/2568 จากการเบิกจ่ายภาครัฐที่ราบรื่นและงบประมาณที่เพิ่มขึ้นของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ซึ่งจะช่วยรักษาระดับราคาขายที่สูงได้ต่อเนื่อง และ 2) คาดส่วนต่างกำไรจะดีขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงตามราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลง พร้อมแผนนำเข้าวัตถุดิบ 2 ลำในปี 2568 เพื่อกลั่นเอง ซึ่งจะให้อัตรากำไรดีกว่าการซื้อมาขายไป นอกจากนี้อัตราเงินปันผล 5% จะช่วยจำกัดความเสี่ยงขาลง
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันพฤหัสฯ ติดตามการรายงานจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (US Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.20 แสนตำแหน่ง
- วันศุกร์ ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจญี่ปุ่น เช่น อัตราการว่างงาน (Japan Unemployment Rate) เดือน พ.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 2.5% YoY เท่ากับเดือนก่อนหน้า ต่อด้วยดัชนียอดค้าปลีก (Japan Retail Sales) เดือน พ.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 1.8% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 1.6% YoY และปิดท้ายด้วยตัวเลขส่งออก (Exports) ของ ธปท. เดือน พ.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 14.2% YoY และตัวเลขนำเข้า (Imports) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 17.1% YoY