Daily Focus -Selective Play

ตลาดหุ้นวานนี้:

SET Index ปรับตัวลงต่อเนื่องตามคาด โดยปิดลบ 20.92 จุด และต่ำกว่าระดับ 1,590 จุด ยังคงมีแรงขายอย่างหนาแน่นออกมากดดัน โดยสถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นอีก 3.4 พันลบ. และ 4.4 พันลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติยัง Short Index Futures อีกกว่า 2 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้:

เราคาด SET Index มีโอกาสเกิด Technical Rebound ระยะสั้น หลังปรับตัวลง 2 วันเกือบ 60 จุด หรือราว 3.6% และยืนใกล้บริเวณแนวรับหลัก 1,590 จุด ขณะที่บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกคลายกังวลโอไมครอนขึ้นบ้าง ทำให้เม็ดเงินไหลกลับเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตาม คาดว่าการฟื้นตัวยังไม่ไกลมากนัก เราประเมินแนวต้านระยะ 1,600-1,610 จุด โดยคาดตลาดยังรอติดตามข้อมูลขอโอไมครอนเพิ่มเติม ทั้งความรุนแรง ความรวดเร็วในการระบาด และประสิทธิผลของวัคซีนในปัจจุบัน ทําให้หุ้นในกลุ่ม Reopening Play คาดยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่นัก กลยุทธ์ระยะสั้นเราจึงเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่ได้รับผลกระทบจำกัด หากเกิดการระบาดระลอกใหม่ทั่วโลก ได้แก่ การแพทย์ ส่งออก โลจิสติกส์ เทคโนโลยี ส่วนที่แนะนำให้สะสมเพิ่มบริเวณ 1,590-1,600 จุด แนะนำถือต่อเนื่อง และมองระดับถัดไปในการเข้าสะสมที่ 1,550-1,570 จุด

กลยุทธ์: เลือกลงทุนในหุ้นที่กระทบจาก COVID-19 จำกัด หากระบาดระลอกใหม่

หุ้นเด่นเดือน พ.ย. : CHG, FSMART, GPSC, JWD, KCE

หุ้นเด่นวันนี้: SYNEX

  • แนะนํา “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 34 บาท
  • แนวโน้ม 4Q21 จะเติบโตแข็งแกร่งทั้ง Q-Q และ Y-Y มีลุ้นทำ Record High จากการเข้า High Season รวมถึงได้อานิสงส์จาก iPhone13 ที่เริ่มขายในไทยเร็วกว่าปีก่อนถึงเกือบ 2 เดือน
  • เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์หากเกิดการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ จาก WFH และ LFM แต่หากไม่มีการระบาดทิศทางกำไรก็ยังเป็นขาขึ้น และได้ประโยชน์ระยะยาวจากเทรนด์ Digital และ Metaverse
  • แนวรับ 27.25-27.75 บาท แนวต้าน 29-30 บาท

Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนพลิกมาไหลเข้าภูมิภาค US$ 344 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ US$ 323 ล้าน และ US$ 235 ล้าน ตามลำดับ ส่วนอาเซียนเม็ดเงินไหลออกค่อนข้างหนาแน่น นำโดยไทยและอินโดนีเซีย US$ 130 ล้าน และ US$ 82 ล้าน ตามลำดับ แนวโน้มของกระแสเงินทุนมีโอกาสไหลเข้าต่อเนื่องจากเม็ดเงินที่กลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยง อย่างไรก็ตาม ยังคงจับตาโควิดโมไมครอนว่าจะระบาดรุนแรงขึ้นหรือไม่

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) กลุ่มการแพทย์ ยังมีโอกาส Outperform ต่อเนื่อง โดยหากอิงการระบาดระลอก 3 ช่วงเดือน มิ.ย. -ส.ค. 21 พบว่า SET Index ปรับตัวลงราว 8% ในขณะที่ SETHELTH +4% ในช่วงเวลาเดียวกัน เราประเมินว่าจากสถานการณ์ปัจจุบันที่ยังมีความไม่แน่นอนทั้งความรุนแรงและประสิทธิผลของวัคซีนในปัจจุบัน สำหรับ COVID-19 สายพันธุ์โอไมครอนรวมถึงความเสี่ยงที่จะระบาดในวงกว้างทั้งภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงเอเชียและไทย ประกอบกับราคาหุ้นที่พักตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ทำให้เรามองกลุ่มการแพทย์จะยังเป็นหลุมหลบภัยที่ดี เราชอบ BCH CHG EKH

(0) DOD เริ่มมีความคืบหน้าธุรกิจกัญชงรับรู้รายได้ล็อกแรกแล้วใน 4Q21 แต่ยังเป็นไปอย่างช้าๆ และล่าสุดได้ใบอนุญาตโรงสกัด CBD จึงทันกับผลผลิตของบริษัทเองที่ปลูกในนาม Contract Farming ซึ่งจะเริ่มทยอยออกมาตั้งแต่เดือน ม.ค. 22 เป็นต้นไป ปัจจุบันบริษัทยังไม่มีการกำหนดเป้าหมายรายได้กัญชงยังอยู่ระหว่างรอดูผลผลิตและต้นทุนเพื่อประเมินราคาขายร่วมกับลูกค้า ซึ่งกลุ่มแรกยังเน้นที่การผลิตอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของกัญชงก่อนควบคู่กับการหาลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อมารองรับกับกำลังการผลิตโรงสกัดแห่งใหม่ สำหรับธุรกิจเดิมคาดกลับมาฟื้นตัวใน 4Q21 หลัง COVID คลี่คลาย ทำให้ลูกค้ารายใหญ่กลับมาทำการตลาดและออกสินค้าใหม่อีกครั้ง กอปรกับล่าสุดได้ลูกค้ารายใหม่ 1 ราย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกน่าจะเริ่มรับรู้รายได้ชัดเจนในปี 2022 แต่ด้วย 3Q21 ที่ถูกกระทบจาก COVID เราจึงปรับลดกำไรปกติปี 2021-22 ลง 10% -15% และปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 12 บาท คงคำแนะนำ “เก็งกำไร”

(+) MSCI Rebalance มีผลวันนี้โดย Global Standard ไม่มีหุ้นเข้า-ออก แต่ที่ดีกว่าคาดคือ BAM RATCH ไม่หลุดออก ส่วน Small Cap มีหุ้นเข้า ได้แก่ TIDLOR BEC TIPH ส่วนหุ้นออกคือ TKN

(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 236.60 จุด หรือ 0.68% ปิดที่ 35,135.94 จุด หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนแถลงการณ์เมื่อวานนี้ว่ารัฐบาลสหรัฐไม่มีนโยบายที่จะประกาศล็อกดาวน์เศรษฐกิจ เพื่อสกัดไวรัส COVID-19 สายพันธุ์โอไมครอน

(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกเนื่องจากพื้นตัวหลังปรับลงแรงในวันก่อนหน้าที่กังวลเกี่ยวกับ COVID-19 สายพันธุ์โอไมครอน

(+) ตลาดเอเชีย ปรับขึ้นตามทิศทางตลาดดาวโจนส์และฟื้นตัวหลังปรับลงในวันก่อนหน้า ขณะที่ติดตามจีนรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคบริการเดือน พ.ย. จากสำนักงานสถิติแห่งชาติในเช้านี้

(+) ค่าเงินบาท แข็งค่าขึ้นล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 33.61 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 1.80 ดอลลาร์หรือ 2.6% ปิดที่ 69.95 ดอลลาร์/บาร์เรล จากการซื้อเก็งกำไรหลังปรับลงหนักในช่วงก่อนหน้า ขณะที่ติดตามการประชุมกำหนดนโยบายการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 2 ธ.ค. โดยคาดว่าโอเปกพลัสอาจระงับการเพิ่มกำลังการผลิตในเดือน ม.ค. 2022 รวมถึง EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในวันพรุ่งนี้เวลา 22.30 น. ตามเวลาไทย

(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 2.9 ดอลลาร์หรือ 0.16% ปิดที่ 1,785.2 ดอลลาร์/ออนซ์ จากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และแรงขายสินทรัพย์ปลอดภัยหลังตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้น

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 992.85 / +-

- Advertisement -