บล.กสิกรไทย:
SCC ยังคงอยู่ในวัฏจักรอุตสาหกรรมขาลง
- กำไรระยะสั้นของ SCC จะยังคงอ่อนแอ โดยคาดว่ากำไรไตรมาส 4/67 จะมีผลขาดทุนสุทธิที่ 915 ลบ. เนื่องจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีต่ำกว่าต้นทุนเงินสด
- คาดว่ากระแสเงินสดในปี 2568 จะดีขึ้น ในการประชุมกับนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ ผู้บริหารของ SCC ได้อธิบายถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงวัฏจักรอุตสาหกรรมขาลง โดยมีแผนที่จะลดงบลงทุน (CAPEX) ประจำปีลงครึ่งหนึ่งเหลือ 3 หมื่นลบ.ในปี 2568 และได้ดำเนินการรีไฟแนนซ์หนี้ของโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) เรียบร้อยแล้ว
- โดยผู้บริหารคาดว่า EBITDA จะอยู่ที่ 4-5 หมื่นลบ. ในปี 2568 ซึ่งจะช่วยให้กระแสเงินสดอิสระของบริษัทฯ กลับมาเป็นบวกได้ นอกจากนี้ ผู้บริหารคาดว่าหนี้ที่ครบกำหนดส่วนใหญ่จะมีการรีไฟแนนซ์ผ่านการออกหุ้นกู้ใหม่ ซึ่งอุปสงค์ของหุ้นกู้ของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง
- นโยบายของทรัมป์อาจเป็นตัวเปลี่ยนภาพ? ในกรณีที่ดีที่สุด นโยบายของสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนอาจเป็นตัวเปลี่ยนภาพอุตสาหกรรมปิโตรเคมีโลก หากอนุญาตให้รัสเซียส่งออกน้ำมันและก๊าซในราคาตลาดโดยไม่มีการคว่ำบาตรจากประเทศตะวันตก
- ในปัจจุบันผู้เล่นในกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีแบบครบวงจรของจีนได้รับประโยชน์จากวัตถุดิบราคาถูกที่นำเข้าจากรัสเซีย ทำให้พวกเขายังคงอยู่ในกลุ่มต้นทุนควอไทล์ที่ 2 และยังคงทำกำไรได้แม้ส่วนต่างราคา PE/PP จะอยู่ที่ระดับ 350 ดอลลาร์สหรัฐฯ/ตัน จากข้อมูลของอุตสาหกรรม ผู้ผลิตจีนเหล่านี้มีสัดส่วนประมาณ 10% ของตลาด PE โลก หากความได้เปรียบด้านวัตถุดิบหายไป เราอาจเห็นตลาดโอเลฟินส์ที่ตึงตัวขึ้น ซึ่งจะสร้าง upside ต่อส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์
- คงคำแนะนำ “ถือ” โดยปรับลด TP ลงเหลือ 169.0 บาท หรือ -2SD เพื่อสะท้อนถึง downside ต่อสมมติฐานส่วนต่างราคา PE/PP ของเราในปัจจุบัน