บล.กสิกรไทย:
ตลาดหุ้นไทยร่วงลงเกือบตลอดสัปดาห์ท่ามกลางแรงขายหลักจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ
- ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงช่วงต้นสัปดาห์สอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาค หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งกระตุ้นการคาดการณ์เกี่ยวกับการชะลอการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากแรงขายหุ้นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวจากกรณีการหายตัวของนักแสดงจีนซึ่งกระทบความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว รวมถึงแรงขายหุ้นบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่แห่งหนึ่งจากประเด็นเฉพาะตัว
- ดัชนีหุ้นไทยดีดตัวขึ้นช่วงสั้น ๆ กลางสัปดาห์ ขานรับรายงานข่าวที่ว่าทีมเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อยู่ระหว่างพิจารณาแผนการปรับขึ้นภาษีแบบค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มแบงก์ก่อนการประกาศผลประกอบการและพลังงานรับอานิสงส์ราคาน้ามันในตลาดโลกปรับตัวขึ้น อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นไทยย่อตัวลงในช่วงที่เหลือของสัปดาห์ท่ามกลางสัญญาณระมัดระวังของนักลงทุน ระหว่างรอติดตามนโยบายต่าง ๆ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ หลังเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้า
- ในวันศุกร์ที่ 7 ม.ค. 2568 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ ,340.63 จุด ร่วงลง 2.00% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 44,347.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.08% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 6.39% มาปิดที่ระดับ 275.57 จุด
- สัปดาห์ถัดไป (20-24 ม.ค. 68) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ ,330 และ ,320 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ ,345 และ ,355 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณเกี่ยวกับนโยบายต่างๆของนายโดนัลด์ ทรัมป์หลังเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ ผลประกอบการไตรมาส 4/2567 ของบจ.ไทย โดยเฉพาะกลุ่มแบงก์ และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนม.ค. 2568 (เบื้องต้น) ยอดขายบ้านมือสองเดือนธ.ค. 2567 รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ การประชุม BOJ และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนธ.ค. 2567 ของญี่ปุ่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ย LPR เดือนม.ค. 2568 ของจีน รวมถึงดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนม.ค. 2568 (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ
ที่มา : KSResearch , SET , Bisnews