บิ๊กบอส LEO ลั่น! กอดหุ้นแน่น มั่นใจปัจจัยพื้นฐานแกร่ง-อนาคตสดใส ย้ำ! ลุยธุรกิจตามยุทธศาสตร์ “LEO Go Green” สร้างการเติบโตยั่งยืน
บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) ประกาศความเชื่อมั่นให้ผู้ถือหุ้น นักลงทุน ลั่นพื้นฐานธุรกิจยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมากจากธุรกิจใหม่อย่าง LEO Sourcing and Supply Chain, LaneXang Express และ Sritrang LEO Multimodal Logistics ฟาก “เกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์” ลั่น ปัจจุบันยังกอดหุ้น LEO อย่างเหนียวแน่น พร้อมเดินหน้าต่อยอดธุรกิจ Non-freight และ Non-Logistics สร้างรายได้เพิ่มจากการบริการจัดการด้านWarehouse / Distribution Center ดันผลงานปี 68 เติบโต 20-25%ตามเป้า
นายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) (LEO) เปิดเผยว่ากรณีการขายหุ้น ในวันที่ 17 มกราคม 2568 มีปริมาณการซื้อขายหุ้น LEO ในลักษณะที่ไม่ปกติ และราคาลดลงมามาก เนื่องจากมีผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นผู้ถือหุ้นรุ่นก่อตั้งของบริษัทฯ (ที่ไม่ได้เป็นคณะกรรมการ) นำหุ้นไปวางค้ำประกันเงินกู้ และถูกบังคับขายหุ้น (Forced Sell)
ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนบุคคลและไม่ได้เกี่ยวของกับบริษัทฯหรือคณะกรรมการของบริษัทฯเนื่องจากเป็นการตัดสินใจส่วนบุคคล โดยผู้ที่นำหุ้นไปค้ำประกันดังกล่าวไม่ได้เป็นคณะกรรมการของบริษัทฯ อีกทั้งคณะกรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯ ยังมีความมุ่งมั่นตั้งใจในการบริหารจัดการบริษัทให้เป็นไปตามแผน ชูกลยุทธ์ “LEO Go Green” ยกระดับผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรอย่างความยั่งยืน พร้อมต่อยอดธุรกิจ Non-freight และ Non-Logistics สร้างรายได้เพิ่มจากการบริการจัดการด้าน Warehouse / Distribution Center ดันผลงานปี 2568 ให้มีการเติบโต 20-25% และมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ Non-Freightและ Non-Logistics เพิ่มขึ้นมาเป็นอย่างน้อย 30-35% ของภาพรายได้รวม และทำให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นของบริษัทสูงขึ้น
“ในฐานะผู้ก่อตั้งบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นใหญ่ของ LEO ผมยืนยันว่ายังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและความมั่นคงของบริษัท และที่ผ่านมาก็มีแต่ทยอยเก็บซื้อหุ้นเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนพฤศจิกายน และธันวาคมปี 2567 ที่ผ่านมา ผมและภรรยาก็ยังมีการซื้อหุ้นของ LEO รวมกันเป็นจำนวน 600,000 หุ้น” นายเกตติวิทย์ กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2568 ทาง LEO เดินตามแผนยุทธศาสตร์ “LEO Go Green” ซึ่งคาดว่าจะทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างการเติบโตกำไรขั้นต้นและผลประกอบการให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 20-25% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการรับรู้รายได้จากหน่วยธุรกิจใหม่ๆ (New Business Units) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ Self-Storage และ Wine Storage สาขา ถนนพระราม 4 รวมถึงโครงการอื่นๆ ที่ได้มีการจัดตั้งในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ การขนส่งทางรางไปยังประเทศจีน-ลาว ของบริษัท LaneXang Express การขนส่งสินค้าทางรางภายในประเทศของบริษัท Sritrang LEO Multimodal Logistics การให้บริการศูนย์โลจิสติกส์และกระจายสินค้าของบริษัทAdvantis LEO และการส่งออกสินค้าทุเรียนไปยังประเทศจีนจากบริษัท LEO Sourcing & Supply Chain ซึ่งบริษัทดังกล่าวเหล่านี้จะทำให้เกิดรายได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของบริษัทฯ ในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจ Non-Freight และ Non-Logistics ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องและมีสัดส่วนของรายได้มาเป็น 30-35% จากยอดรวมของบริษัทฯ ใน 1-2 ปีข้างหน้า รวมถึงโครงการ JV และ M&A อีกหลายโครงการที่อยู่ในแผนธุรกิจในปี2568
“LEO เชื่อมั่นว่า ปี 2568 รายได้และกำไรขั้นต้นของบริษัทจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาจากการขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างประเทศไทยกับจีน รวมทั้งธุรกิจของ Non – Logistics Business จะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดแน่นอน” นายเกตติวิทย์ กล่าว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO กล่าวเพิ่มเติมว่า หนึ่งในแผนการสำคัญของ LEO ในปี 2568 คือการพัฒนาระบบขนส่งรถไฟจีน-ไทย ด้วยตู้ Reefer Containers ให้เป็นระบบแบบขนส่ง Round trip มีสินค้าขาไปและขากลับ ระหว่างประเทศจีน-ไทย โดย LEO จะเป็นผู้จัดหาสินค้าส่งออกจากประเทศไทยมายังจีน และทางฝ่ายจีนก็จะช่วยหาสินค้าส่งออกจากประเทศจีนกลับมายังประเทศไทย โดย LEO มีความเชี่ยวชาญในการให้บริการ End-to-End Global Logistics Service Provider และเครือข่ายของ LaneXang Express ในประเทศจีนและไทยจะสามารถช่วยยกระดับการให้บริการเข้าสู่มาตรฐานสากล ผลักดันให้การขนส่งสินค้าทางรถไฟระหว่างจีน-ไทย ให้ประสบความสำเร็จ และสามารถลดต้นทุนค่าขนส่งให้กับผู้ส่งออกและนำเข้าทั้งในประเทศไทยและจีน
นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งมั่นให้ความสำคัญกับกิจกรรมและบริการโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เพื่อตอบสนองต่อวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมของ LEO จึงได้ประกาศแผนกลยุทธ์ที่พร้อมส่งมอบบริการโลจิสติกส์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “LEO Go Green” สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเราในฐานะผู้นำด้านการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมโลจิสติกส์อย่างแท้จริง” นายเกตติวิทย์ กล่าวในที่สุด