KS Daily View 30.01.2025>>> S&P 500 ปรับตัวขึ้น ขานรับการบริโภคที่แข็งแกร่งในรายงาน GDP ไตรมาสที่ 4 ปี 2024 ด้านตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงทดสอบระดับ New Low มองน่าจะ Sideway ที่ 1,330 – 1,360 จากการที่ยังขาดปัจจัยหนุนใหม่จากภายใน หุ้นแนะนำเป็น SCGP, TIDLOR

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.53%, Dow Jones เพิ่มขึ้น 0.38% และ Nasdaq เพิ่มขึ้น 0.25% หนุนโดย GDP ไตรมาสที่ 4 ปี 2024 ที่ขยายตัว 2.3% QoQ แม้จะชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยสาเหตุมาจากภาคการลงทุนและสินค้าคงคลังที่หดตัวจากการประท้วงหยุดงานของพนักงานโบอิ้ง แต่ปัจจัยสำคัญอย่างการบริโภคขยายตัวถึง 4.2% QoQ สูงกว่าคาด และมากที่สุดตั้งแต่ช่วงต้นปี 2023 โดยมีส่วน Contribute to GDP ที่ 2.82% โดยหุ้นปรับตัวขึ้นทุกกลุ่มยกเว้นเทคโนโลยีที่โดนฉุดลงโดย Microsoft หลังรายได้การเติบโตของ Azure พลาดเป้า

ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,335.64 จุด ปรับตัวลง 7.55 จุด ทำระดับต่ำสุดใหม่ มูลค่าการซื้อขายอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องที่ราว 29,530 ล้านบาท ประเด็นกดดันมาจากการที่เฟดส่งสัญญาณไม่รีบลดดอกเบี้ยจากเงินเฟ้อที่ยังสูงกว่าเป้าหมาย รวมถึงการที่ทรัมป์เตรียมพิจารณาจำกัดการส่งออกชิป Nvidia ไปจีน ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก ทำให้หุ้น DELTA ปรับตัวลงและมีผลต่อดัชนีราว 6 จุด ในขณะที่หุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง และบรรจุภัณฑ์ ปรับตัวขึ้นหนุนดัชนี วันนี้เราคาดตลาดน่าจะ Sideway ที่กรอบ 1,330 – 1,360 ตามเดิมจากการที่ตลาดยังขาดปัจจัยใหม่และมีปัจจัยกดดันอย่างการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ 25% กับแคนาดาและเม็กซิโกในวันที่ 1 ก.พ. หุ้นแนะนำเป็น SCGP, TIDLOR

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

  1. ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศจะเก็บภาษีนำเข้า 25% กับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ โดยอ้างเหตุผลเรื่องการไหลเข้าของยาเฟนทานิล การขาดดุลการค้าที่สูง และการอพยพเข้าเมือง อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ระบุว่ากำลังพิจารณายกเว้นการเก็บภาษีน้ำมัน และอาจมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมในอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น ยา เซมิคอนดักเตอร์ เหล็ก อลูมิเนียม และทองแดง การประกาศครั้งนี้ส่งผลให้ค่าเงินแคนาดาและเปโซเม็กซิโกอ่อนค่าลง นอกจากนี้ทรัมป์ยังระบุว่าอาจเก็บภาษี 10% กับจีนด้วย เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามสัญญาในการป้องกันการลักลอบนำเข้ายาเฟนทานิล
  • เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโต 2.3% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 ขับเคลื่อนโดยการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น 4.2% ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2023 แม้จะมีผลกระทบจากการประท้วงที่บริษัทโบอิ้งและการลงทุนในสินค้าคงคลังที่ลดลง ส่งผลให้เศรษฐกิจทั้งปี 2024 เติบโต 2.8% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้
  • ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยปรับลดลง 25 bps เหลือ 2.75% ท่ามกลางเศรษฐกิจยูโรโซนที่ชะงักงันและเงินเฟ้อที่ใกล้เป้าหมาย 2% ประธาน ECB คริสติน ลาการ์ด ระบุว่าเศรษฐกิจยุโรปจะยังคงอ่อนแอในระยะอันใกล้ และความเสี่ยงยังคงเอนเอียงไปทางด้านลบเนื่องจากความเป็นไปได้ที่จะเกิดความขัดแย้งทางการค้าโลกที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า ECB จะลดดอกเบี้ยลงอีก 70 bps ในช่วงที่เหลือของปี 2025
  • กระทรวงการคลังเร่งศึกษาการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน วงเงิน 3 แสนล้านบาท เพื่อซื้อสินทรัพย์การเดินรถจากเอกชนและสนับสนุนนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าคาดจะมีความชัดเจนภายในปีนี้ แม้ในช่วง 8 ปีแรกกองทุนอาจมีสถานะติดลบ แต่ในระยะยาว 30 ปี จะมีผลตอบแทนที่เหมาะสม พร้อมกันนี้ยังได้สั่งการให้รัฐวิสาหกิจ 52 แห่ง จัดทำแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
  • กระทรวงการคลังเตรียมเสนอ ครม. ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เพื่อออก พ.ร.ก. เพิ่มอำนาจให้ ก.ล.ต. เป็นพนักงานสอบสวนและส่งสำนวนถึงอัยการได้โดยตรง ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการดำเนินคดีได้เร็วขึ้น 6-7 เดือน โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในปีนี้ พร้อมกันนี้ยังมีแผนให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะออกพันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 10,000 ล้านบาทในรูปแบบ Tokenization คล้าย Stablecoin ภายในปีนี้ เพื่อกระตุ้นตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล และส่งเสริมให้บริษัทหลักทรัพย์หันมาประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

  • SCGP : ราคาพื้นฐาน 20.00 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ SCGP แม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 4/2567 จะต่ำกว่าคาด แต่เรามองว่าเป็นจุดต่ำสุดของกำไรและจะมีแนวโน้มดีขึ้นในไตรมาส 1/2568 เนื่องจากไม่มีรายการพิเศษเพิ่มเติม และคาดว่า Fajar มีแผนเพิ่มทุนเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เดิม ซึ่งจะช่วยลดดอกเบี้ยจ่ายได้ประมาณ 300-400 ล้านบาทต่อปี โดยเราปรับคำแนะนำ SCGP ขึ้นจากการที่กำไรผ่านจุดต่ำสุดและการฟื้นตัวของ Fajar นอกจากนี้ SCGP ยังประกาศจ่ายปันผล 0.30 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายปันผล 250% ในปี 2567 โดยจะจ่ายวันที่ 21 เมษายนนี้

  • TIDLOR : ราคาพื้นฐาน 23.00 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ TIDLOR คาดผลประกอบการไตรมาส 4/2567 จะมีคุณภาพสินทรัพย์ดีตามคาดจากการเร่งจัดเก็บหนี้หลังการปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ตั้งแต่ปี 2566 ส่งผลให้คุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 คาดว่าสินเชื่อในปี 2568 จะเติบโต 10% พร้อมรายได้ประกันที่จะช่วยหนุนการฟื้นตัวของอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นตั้งแต่ปี 2568 นอกจากนี้ดัชนีราคารถมือสองที่ฟื้นตัวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาหลังแตะจุดต่ำสุดในเดือนตุลาคม คาดว่าจะช่วยลดผลขาดทุนจากการขายรถยึด อีกทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีที่ลดลงมาอยู่ที่ 2.3% จะช่วยหนุนการเก็งกำไรกลุ่มการเงิน ในขณะที่ Fwd PE’68 อยู่ที่ 10 เท่า

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันศุกร์ ติดตามรายงานตัวเลขส่งออกจากธปท. (TH Export) เดือน ธ.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 9.1% YoY และตัวเลขนำเข้าเดือน (TH Import) ธ.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 2.3% YoY และตัวเลขของสหรัฐ ดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคพื้นฐานส่วนบุคคล (Core PCE Price Index) เดือน ธ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 2.8% YoY ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า ต่อด้วยดัชนีรายได้ส่วนบุคคล (Personal Income) เดือน ธ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 0.4% MoM เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 0.3% MoM และดัชนีการใช้จ่ายส่วนบุคคล (Personal Spending) เดือน ธ.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 0.5% MoM เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 0.4% MoM
- Advertisement -