บล.กสิกรไทย:
KS Asset Allocation : LTF ครบกำหนด: ขายหรือถือ?
อัปเดตเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลก
- IMF คาดการณ์อัตราการเติบโตของ GDP ในปี 2568 ดังนี้: สหรัฐฯ 2.7%, ยุโรป 1.0%, สหราชอาณาจักร 1.6%, ญี่ปุ่น 1.1%, จีน 4.6%, อินเดีย 6.5%, ไทย 2.9% และเวียดนาม 6.1% ขณะที่ตลาดคาดการณ์การเติบโตของ GDP YoY ในไตรมาส 4/2567 อยู่ที่ สหรัฐฯ 3.0%, ยุโรป 0.4%, สหราชอาณาจักร 0.2%, ญี่ปุ่น 0.5%, อินเดีย 6.8% และไทย 2.9% บางประเทศได้ประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 4/2567 แล้ว ได้แก่ จีนที่ 5.4% และเวียดนามที่ 7.55%
- ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เช่นเดิม โดยให้เหตุผลว่ามีความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่ยังคงสูงและตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 bps ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอในยุโรป ในทางตรงกันข้าม ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2568 ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มขึ้นจะช่วยรักษาเงินเฟ้อให้คงอยู่ในกรอบเป้าหมาย 2% ธนาคารกลางจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเป็นขั้นตอนเพื่อให้ถึงระดับอัตราดอกเบี้ยที่เป็นกลางอย่างน้อย 1.5% ณ สิ้นปี 2569
กลยุทธ์การลงทุนใน LTF หลังครบกำหนด
- ตั้งแต่ปี 2547 กระแสเงินทุนไหลเข้าสู่ LTF ได้ช่วยสนับสนุนดัชนี SET Index แต่หลังจาก LTF สิ้นสุดลงในปี 2562 โดยมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) อยู่ที่ 4.06 แสนลบ. ดัชนีได้เคลื่อนไหวแกว่งตัวออกข้าง เนื่องจากแรงไถ่ถอนที่เพิ่มขึ้น ณ สิ้นเดือน ม.ค. 2568 มูลค่า AUM ของ LTF ลดลงเหลือ 1.88 แสนลบ. โดยได้รับผลจากดัชนี SET Index ที่ลดลงและมีการไถ่ถอนเพิ่มขึ้น การไถ่ถอนอย่างมีนัยสำคัญ ในเดือน ม.ค. 2568 อยู่ที่ 1.96 หมื่นลบ. ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตของเดือนม.ค.ที่ 5 – 8 พันลบ. กองทุน LTF ขนาดใหญ่ 10 อันดับแรก คิดเป็น 63% ของ AUM ลดลง 14%
- 5 ทางเลือกสำหรับ LTF เมื่อครบกำหนด
- ถือเพื่อการเติบโตระยะยาว: คงการลงทุนเพื่อศักยภาพในการเติบโตระยะยาว
- ขายเพื่อตัดขาดทุน: ผลการขาดทุน 5–10% ได้ถูกชดเชยด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษีไปแล้ว
- รับความเสี่ยงได้ต่ำ: เปลี่ยนไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้
- รับความเสี่ยงได้สูง: ไถ่ถอนบางส่วนเพื่อนำไปกระจายการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ
- นำเงินกลับไปลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษี: หากยังคงต้องเสียภาษีอยู่
Monthly mutual fund recommendations
- TUSFIN-A: ปีที่แข็งแกร่งของตลาดทุนช่วยหนุนกำไรในธุรกิจวาณิชธนกิจ การซื้อขายหลักทรัพย์ การบริหารสินทรัพย์ และค่าธรรมเนียมจากบัตรเครดิตที่มาจากอีคอมเมิร์ซและการท่องเที่ยว แม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง แต่ธนาคารสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้ง ค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย และ การตั้งสำรองหนี้สูญ โดยรวมแล้ว คาดว่าภาคการเงินจะเติบโต 27.6% ในไตรมาส 4/2567 และเติบโต 8.0% ในปี 2568
- K-JP-A(D): เงินเฟ้อกลับมาอีกครั้งหลังภาวะเงินฝืดหลายทศวรรษ การขึ้นค่าแรงของญี่ปุ่นช่วยหนุนการบริโภคและการปรับประมาณการ EPS ของ Topix ตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์สูงกับ S&P 500 ปัจจุบัน Topix ซื้อขายด้วย PER ต่ำสุดในรอบทศวรรษ ทำให้เป็นตัวเลือกที่แข็งแกร่งสำหรับกลยุทธ์หมุนเวียน (Rotation Play) กองทุนนี้มีผลตอบแทนที่โดดเด่นกว่าคู่แข่ง โดยเน้นลงทุนในกลุ่มการเงิน อุตสาหกรรม และสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งได้รับประโยชน์จากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นและโอกาสที่ BOJ อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม