Daily Focus: Sentiment SET ยังเป็นลบ เน้น Selective Play ต่อเนื่อง 

2025 SET Target : 1600

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงแรงกว่าที่คาด ปิดลบ 10.36 จุด ที่ระดับ 1,235.85 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.2 หมื่นลบ. ทำระดับต่ำสุดใหม่ในรอบขาลงล่าสุดอีกครั้ง ถ่วงโดยแรงขายหุ้นขนาดใหญ่โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาฯ ขนส่ง สื่อสารฯ ท่องเที่ยว เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่บวกได้คือ ปิโตรฯ อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นเร่งตัวขึ้นเป็น 1.6 พันลบ.และ 1.4 พันลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติพลิกมา Short Index Futures สุทธิ 8.6 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่ง Sideways Down โดยถูกกดดันต่อเนื่องจาก Sentiment ลบต่างประเทศ หลังทรัมป์ออกคำสั่งให้จำกัดการลงทุนของจีนในเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเชิงกลยุทธ์ของสหรัฐฯ ขณะที่ภาษีนำเข้าสินค้า 25% จากแคนาดาและเม็กซิโกที่จะมีผลในเดือน มี.ค.ยังคงเดินหน้าตามแผน ทำให้เม็ดเงินยังคงไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่างหุ้นเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงต่ำและปลอดภัยอย่างพันธบัตรและทองคำต่อเนื่อง  โดยล่าสุด Bond Yield 10 ปีปรับตัวลงสู่ระดับ 4.38% ต่ำสุดตั้งแต่เดือน ธ.ค. 24 ส่วนราคาทองค่าทรงตัวใกล้ระดับ Record High ส่วนปัจจัยในประเทศวันนี้ติดตามตัวเลขส่งออกไทยเดือน ม.ค. 25 (ตลาดคาดส่งออกู +7.4% y-y นำเข้า +2.5% y-y) และโฟกัสหลักอยู่ที่การประชุมกนง.พรุ่งนี้ว่าจะลดดอกเบี้ยจากปัจจุบันที่ 2.25% ตามกระแสคาดการณ์ล่าสุดหรือไม่ส่วนกำไร 4Q24 บจ.เท่าที่ประกาศออกมาแล้วเบื้องต้นต่ำกว่าคาดราว 8% แต่หากตัดรายการ พิเศษก้อนใหญ่เช่นจาก TRUE และ PTT ออก โดยรวมไม่ได้ต่ำกว่าคาด ระยะสั้นคาดหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรดีต่อในปี 2025 คาดว่าจะปรับตัวได้แข็งแกร่งกว่าตลาด ขณะที่ Valuation ปัจจุบันของ SET ที่ค่อนข้างถูก โดยเทรด PER ราว 13 เท่า และมี Earnings Yield Gap กว่า 5% ยังเน้นหุ้น Domestic Play เป็นหลักเพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยสงครามการค้าโลก

กลยุทธ์ : เน้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไร 4Q24-2025 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมหุ้นเพิ่มแล้วโซน 1,300+- หรือต่ำกว่า แนะนำถือลงทุนระยะกลาง-ยาว

หุ้นเด่นเดือน ก.พ. : BBL, CHG, CPALL, ERW, NSL

FSSIA Portfolio: BA, BBL, CHG, CPALL, MTC, NSL, RBF, SEAFCO, SHR, WHA

หุ้นเด่น Finansia 25 ก.พ. 25 : ERW

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.20 บาท
  • กำไรปกติ 4Q24 ออกมา 370 ลบ. +2x q-q, +80% y-y ทำ record high และดีกว่าที่คาด 14% หนุนทั้งปี 2024 จบที่ 906 ลบ. +26% y-y
  • เราคาดกำไรปี 2025 โตต่อเนื่องเป็น 940 ลบ. ปัจจุบันมี Upside ตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง Market Cap ปัจจุบันต่ำกว่าช่วงปี 2019 สะท้อน Valuation ที่ถูก เรามองเป็นโอกาสเข้าลงทุน 
  • แนวรับ 3.20//3.12 บาท แนวต้าน 3.40//3.50 บาท 

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากภูมิภาคสุทธิหนาแน่น US$1,068 ล้าน นำโดยไต้หวัน US$576 ล้าน ตามด้วยเกาหลีใต้ US$216 ล้าน ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินไหลออกรุนแรงที่อินโดนีเซีย US$213 ล้าน และไม่มีประเทศใดไหลเข้า แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ายังอยู่ในทิศทางไหลออก โดยตลาดกังวลมาตรการของทรัมป์ที่จะกดดันจีนมากขึ้น รวมถึงระบุว่าภาษีนำเข้าแคนาดาและเม็กซิโกสัปดาห์หน้ายังเป็นไปตามกำหนดเดิม หนุนเม็ดเงินไหลเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงต่ำและปลอดภัยอย่างพันธบัตรและทองคำต่อเนื่อง

ประเด็นสำคัญวันนี้

(-) KCE กำไรปกติ 4Q24 ที่ 252 ลบ. -35% q-q, -46% y-y ต่ำกว่าที่เราคาดมาก จากทั้งรายได้ที่หดตัวและอัตรากำไรขั้นต้นลดลงตามอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ลดลงและต้นทุนทองแดงที่สูงขึ้น จบปี 2024 กำไรสุทธิ -4% y-y คาดแนวโน้มกำไร 1Q25 จะยังฟื้นตัวช้า จากภาพรวมอุตสาหกรรมและยอดขายรถยนต์ทั่วโลกที่ยังไม่สดใส 

(-) SAPPE กำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 189 ลบ. -37% q-q, +13% y-y ต่ำกว่าที่เราคาด 25% มาจากค่าใช้จ่ายในการขายที่สูงกว่าคาด จบปี 2024 กำไรสุทธิ +17% y-y แนวโน้มกำไรน่าจะกลับมาดีขึ้นใน 1Q25 เพราะเริ่มเข้าฤดูกาลของการขายทั้งในตลาดเอเชีย โดยเฉพาะอินโดนีเซีย และตะวันออกกลางที่มักมีคำสั่งซื้อสูงขึ้นก่อนรอมฎอน

(0) ICHI หากไม่รวมรายการพิเศษทางภาษีก้อนใหญ่ 62.9 ลบ. จะมีกำไรปกติ 4Q24 ที่ 269ลบ. -25% q-q, -9% y-y ใกล้เคียงคาด โดยรวมถือเป็นกำไรที่ไม่สดใส ส่วนหนึ่งเพราะเป็น low season ของธุรกิจ จบปี 2024 กำไรสุทธิ์ +19% Y-y ทำจุดสูงสุดใหม่ เรายังติดตามแนวโน้มการฟื้นตัวของรายได้ใน 1Q25 ซึ่งปกติเป็นช่วงเร่งการผลิต เพื่อเตรียมขายสินค้าใน 2Q ซึ่งเป็นหน้าร้อน ทั้งนี้บริษัทได้ทำการติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 13% (+) AU กำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 86 ลบ. +3% q-q, +82% Y-Y ทำนิวไฮได้ตามตลาดคาด จาก SSSG ที่บวกได้เป็นไตรมาสที่ 12 และรายได้ขายสินค้า/วัตถุดิบเร่งขึ้นแรง กำไรสุทธิปี 2024 ทำนิวไฮที่ 296 ลบ. +66% y-y ประกาศจ่ายปันผลงวดปี 2024 หุ้นละ 0.33 บาท คิดเป็น yield 3.7%

(+) COM7 กำไรสุทธิ 4Q24 ที่ 1 พันลบ. +45% q-q, +53% y-y ดีกว่าที่ตลาดคาด 10% แตะระดับ record high กำไรสุทธิปี 2024 ที่ 3.3 พันลบ. +16% y-y แตะระดับ Record high แนวโน้มกำไรสุทธิ 1Q25 หากยังรักษาระดับ GPM ได้เกิน 13% เราคาดว่ากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้น y-y จากการเปิดตัวสมาร์ทโฟนจากหลายแบรนด์ชั้นนำ รวมถึงมาตรการ e-receipt ราคาเป้าหมาย 30 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(+) MOSHI กำไรสุทธิ 4Q24 เป็น 206 ลบ. +91% q-q, +36% Y-Y ดีกว่าคาด 6% จาก SSSG ที่ +15% y-y สูงกว่าที่เราคาด จบปี 2024 มีกำไรสุทธิ 521 ล้านบาท +30% y-y เรามีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิ 2025 ปัจจุบันที่ 561 ลบ. ราคาเป้าหมาย 45 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(+) BH คาดกำไรปกติ 4Q24 ที่ 1.77 พันลบ. +4% y-y แม้คาดรายได้ลดลง 3% y-y หลักๆ มาจากผู้ป่วยต่างชาติตะวันออกกลางลดลง ขณะที่ EBTIDA margin ดีขึ้นจากการควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี เราคาดกำไรปี 2025 +3% Y-Y ราคาเป้าหมาย 220 บาท ราคาหุ้นที่ปรับลง 33% จากพีค ได้สะท้อนข่าวลบเกือบหมดแล้ว หากรู้ฐบาลคูเวตอนุมัติให้ผู้ป่ายคูเวตเข้ามารักษาจะเป็น surprise เชิงบวก ปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ”

(0) WHA โทนการประชุมผู้บริหารยังให้ภาพเป็นบวก การ spinoff WHAID มี dilution เล็กน้อยสำหรับแม่ แต่จะเปิด room ในการกู้ยืมอีกมาก จาก Net IBD/E ปัจจุบันที่ 1.2x ลดเหลือ <0.7x เงินที่ได้จะนำไปลงทุนในธุรกิจ Mobility ซึ่งผบห.มองว่าเป็นธุรกิจอนาคต แต่มีคำถามมากมาย ว่า Mobility จะคุ้มเงินทุนหรือไม่ ธุรกิจนิคม peak แล้วหรือยัง ถ้า peak ตลาดจะรับ IPO ได้ในราคาเท่าใด คาดว่า IPO ช่วง 4Q24-1Q25 ภาพข้างหน้าที่มี uncertainty อยู่เยอะ นำมาซึ่งแรงขายวานนี้ และน่าจะ overhang ราคาหุ้นอยู่อีกระยะ

(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 33.19 จุด หรือ +0.08%, ปิดที่ 43,461.21 จุด แต่ดัชนี Nasdaq ปิดร่วงลงกว่า 1% โดยตลาดถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความต้องการเทคโนโลยีที่รองรับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาผลประกอบการของอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ 

(-) ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบเล็กน้อย ขณะที่ชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคอนุรักษ์นิยมในเยอรมนีช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับภาวะชะงักงันทางการเมืองในเยอรมนี ซึ่งมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป แต่ยังไม่สามารถคลายความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการที่รัฐบาลใหม่จะสามารถดำเนินการปฏิรูปการคลังเพื่อกระตุ้นการเติบโตที่ซบเซาได้หรือไม่

(-) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดลบ หลังหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันเดินหน้ามาตรการเก็บภาษีแคนาดาและเม็กซิโก

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่บริเวณ 33.52 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ

-0.05%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 30 เซนต์ หรือ 0.43% ปิดที่ 70.70ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากสหรัฐฯ ประกาศคว่าบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันอิหร่านรอบใหม่ นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการที่อิรักให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามข้อตกลงของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) ในการปรับลดกำลังการผลิตเพื่อชดเชยการผลิตน้ำมันเกินโควตาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 70.73 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.04%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 10.00 ดอลลาร์ หรือ 0.34% ปิดที่ 2,963.20 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่า SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองคำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ได้เพิ่มการถือครองทองคำนอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 2,965.40 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 0.07% 

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 907.53/ 0.35%

- Advertisement -