KS Daily View 25.02.2025 >>> S&P 500 ดิ่ง 3 วันติด ทรัมป์ยันขึ้นภาษี 25% แคนาดา-เม็กซิโก มองกรอบ SET วันนี้ 1,230-1,250 หุ้นแนะนำ MOSHI, BDMS
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ สหรัฐฯ ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 โดย S&P 500 ลดลง 0.50%Nasdaq Composite ลดลง 1.21% ขณะที่ Dow Jones บวกเล็กน้อย 0.08% หุ้นกลุ่มชิปเป็นตัวฉุดตลาดหลัก โดยเฉพาะNvidia ที่ปรับตัวลง 3.1% ก่อนประกาศผลประกอบการในคืนวันพุธ นอกจากนี้ ตลาดยังกังวลเรื่องนโยบายภาษีของสหรัฐฯ หลังทรัมป์ยืนยันจะเก็บภาษี 25% กับสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโกในสัปดาห์หน้า แม้ว่าทั้งสองประเทศจะได้ออกมาตรการใหม่เพื่อคุมเข้มชายแดนหวังหลีกเลี่ยงภาษีดังกล่าว
ตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,235.85 จุด ลดลง 10.36 จุด (-0.83%) ทดสอบแนวรับ 1,230 จุด โดยมีลงทุนต่างชาติและสถาบันขายสุทธิ 1,643 และ 1,381 ล้านบาทตามลำดับ แรงกดดันมาจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังดัชนี PMI ภาคบริการหดตัวและ Michigan Sentiment ที่ลดลงแรง นอกจากนี้ยังมีเรื่องการยกเลิกเที่ยวบินของนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยเพิ่มขึ้นมาก ส่งผลต่อเป้าหมายนักน่องเที่ยวจีนในปีนี้ที่ 9 ล้านคน ทำให้กลุ่มท่องเที่ยวปรับตัวลงแรง ในขณะเดียวกันหุ้นที่อยู่โซนบนยังโดนแรงขายต่อเนื่อง สำหรับปัจจัยบวกเรามองมาตรการ ThaiESG ใหม่ที่กำลังจะออกมารองรับ LTF อาจช่วยชะลอการปรับตัวลงของตลาดได้บ้าง แต่ยังต้องระมัดระวังเรื่องกำไรบริษัทที่ยังถูกปรับคาดการณ์ลงต่อเนื่อง และติดตามผลการประชุม กนง. ในช่วงกลางสัปดาห์ เราประเมินกรอบ SET วันนี้ที่ 1,230 – 1,250 จุด โดยมีหุ้นแนะนำเป็น MOSHI, BDMS
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1. ทรัมป์เปิดศึกการค้ากับจีนด้วยมาตรการหลายด้าน ได้แก่ สั่งให้คณะกรรมการด้านการลงทุนต่างชาติในสหรัฐฯ (CFIUS)จำกัดการลงทุนของจีนในอุตสาหกรรมสำคัญ กดดันเม็กซิโกให้เก็บภาษีสินค้าจีน เสนอเก็บค่าธรรมเนียมเรือสินค้าที่ผลิตในจีน ทบทวนข้อตกลงภาษีที่เคยช่วยให้ไม่ต้องเสียภาษีซ้ำซ้อน และตรวจสอบบัญชีบริษัทจีนในตลาดหุ้นอเมริกันเข้มงวดขึ้น ทำให้โอกาสเจรจาลดการขาดดุลการค้า 295 พันล้านดอลลาร์ระหว่างสองประเทศยากขึ้น จีนตอบโต้โดยเรียกร้องให้สหรัฐฯ หยุดใช้เศรษฐกิจและการค้าเป็นเครื่องมือทางการเมือง
2. ประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันว่าแผนเก็บภาษีนำเข้า 25% กับแคนาดาและเม็กซิโกจะมีผลบังคับใช้ตามกำหนดวันที่ 4 มีนาคม โดยระหว่างแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ที่ทำเนียบขาว ทรัมป์กล่าวว่า “การเก็บภาษีจะดำเนินไปตามเวลา ตามกำหนดการ” แม้ว่าทั้งสองประเทศจะได้ออกมาตรการใหม่เพื่อคุมเข้มชายแดนหวังหลีกเลี่ยงภาษีดังกล่าว นอกจากนี้ ทรัมป์ยังระบุว่ากำลังผลักดันแผนการเก็บภาษี “แบบตอบโต้” โดยจะกำหนดอัตราภาษีสหรัฐฯ เทียบเท่ากับที่ประเทศอื่นเก็บจากสินค้าอเมริกัน
3. รมว.คลัง พิชัย ชุณหวชิร เปิดเผยว่าจะออกกองทุนใหม่ในเดือนมีนาคมนี้ เพื่อให้สามารถโยกกองทุน LTF มาอยู่ในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) โดยได้มีการหารือในหลักการกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ FETCO มีสมาชิกจำนวนมากในวงการตลาดทุน ทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างรอบด้านและรับทราบผลตอบรับจากมาตรการต่างๆ ที่ออกมา
4. กระทรวงสาธารณสุขจัดงบ 60 ล้านบาทเพื่อกระตุ้นโรงพยาบาลให้เพิ่มการใช้ยาสมุนไพรแทนยาแผนตะวันตก โดย รมว.สมศักดิ์ เทพสุทิน ตั้งเป้าเพิ่มการใช้ยาสมุนไพรในระบบหลักประกันสุขภาพจาก 400 ล้านบาท เป็น 1,000 ล้านบาทในปี 2568 และ 3,000 ล้านบาทในปี 2569 เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้ยาในระบบสาธารณสุข 70,500 ล้านบาท แต่เป็นยาสมุนไพรเพียง 1,500 ล้านบาท โดยโรงพยาบาลที่สามารถลดการใช้ยาแผนปัจจุบันใน 5 ด้านได้เร็ว จะได้รับงบพัฒนาแห่งละ 200,000 บาท โดยรัฐบาลมุ่งส่งเสริมยาสมุนไพร 10 รายการใน 10 กลุ่มโรคที่พบบ่อย
5. BOI เผยผลสำเร็จการเยือนญี่ปุ่นนำโดยรองนายกฯ พิชัย ชุณหวชิร จัดงานสัมมนามีบริษัทญี่ปุ่นเข้าร่วมกว่า 400 ราย พร้อมเจรจากับนักลงทุนใน 3 กลุ่มสำคัญ ได้แก่ กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ (Toshiba, MinebeaMitsumi, Rapidus) กลุ่มยานยนต์ (Isuzu, Mitsubishi) และกลุ่มอาหารและบรรจุภัณฑ์ (Suntory) ซึ่งทุกบริษัทมีแผนขยายการลงทุนในไทย นอกจากนี้ยังได้พบรัฐมนตรีเศรษฐกิจญี่ปุ่นเพื่อผนึกกำลังพัฒนาอุตสาหกรรมและพลังงานสำคัญ
Daily pick
MOSHI : ราคาพื้นฐาน 56.10 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ MOSHI จากผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2567 ที่ดีกว่าคาดประมาณ 6.7% โดยเติบโต 90% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและ 36% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการขยายสาขาที่เพิ่มขึ้น 6 สาขาในไตรมาส 4 และ SSSG ที่เติบโตประมาณ 15.4% ส่งผลให้รายได้เติบโตประมาณ 33% เมื่อเทียบกับปีก่อนและ 42% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน หากไม่รวมขาดทุนจาก Joint Operation สำหรับธุรกิจจัด Exhibition บริษัทจะมีกำไรปกติในไตรมาส 4 ที่ 218 ล้านบาท เติบโตประมาณ 44% โดยในปี 2568 จะไม่มีธุรกิจ Joint Operation นี้อีกต่อไป เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะกลับมาสู่ระดับปกติในปี 2568 นอกจากนี้ เรามองว่าแนวโน้มการเติบโตของ MOSHI จะยังคงต่อเนื่องมาในไตรมาส 1 ปี 2568 โดย SSSG ช่วงต้นไตรมาสนี้คาดว่าจะเติบโตได้ประมาณ 9% ประกอบกับแผนการขยาย 40 สาขาในปีนี้ จะช่วยหนุนการเติบโตในปี 2568 เป็นต้นไป ทั้งนี้ MOSHI ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลที่ 0.8 บาทต่อหุ้น และจะได้รับการบรรจุเข้าในดัชนี SET100 มีผลวันที่ 27 กุมภาพันธ์นี้
BDMS : ราคาพื้นฐาน 29.40 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ BDMS จากการมี Downside ที่จำกัด แม้ในกรณีที่ได้รับผลกระทบจาก Copayment เต็มจำนวนที่ 5% ของรายได้ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาในกรณีนี้อยู่ที่ 23.10 บาท นอกจากนี้ เรามองว่า BDMS มีโอกาสเติบโตได้ประมาณ 2-3 เท่าของ GDP หรือประมาณ 5-7% ในปี 2568 อีกทั้งเราชื่นชอบความแข็งแกร่งของ BDMS ที่เป็นเครือข่ายโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและมีการกระจายความเสี่ยงในระดับสูง โดยไม่ได้พึ่งพิงโรงพยาบาลใดเป็นหลัก ปัจจุบัน BDMS ซื้อขายอยู่ที่ระดับ -1SD ประกอบกับกำไรที่คาดว่าจะเติบโตได้ประมาณ 5% จึงเป็นโอกาสในการเก็งกำไรในราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาแล้วกว่า 5% ตั้งแต่ต้นปี
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
วันอังคาร ติดตามดัชนีรายงานความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของคณะกรรมการการประชุม (Conference Board Consumer Confidence) เดือน ก.พ. ตลาดคาดการณ์ที่ 103.5 จุดเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 104.1 จุด และรายงานดัชนีภาคการผลิตของรัฐริชมอนด์ (Richmond Manufacturing Index) เดือน ก.พ. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -4.0 จุด
วันพุธ ติดตามการประชุมของ กนง. ตลาดคาดว่าจะกนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.25% และติดตามตัวเลขยอดขายบ้านใหม่ (New home sale) เดือน ม.ค. โดดตลาดคาดที่ 6.80 แสนหลังปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 6.98 แสนหลัง
วันพฤหัสฯ ติดตามคำสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ (US Durable goods orders) เดือน ม.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +1.20% MoM เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ -2.2% MoM ต่อด้วยรายงานการคาดการณ์การเติบโของ GDP ของสหรัฐใน 4Q24 ครั้งที่สอง ตลาดคาดการณ์ที่ 2.3% QoQ ทรงตัวจากครั้งก่อนหน้า ปิดท้ายจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.19 แสนตำแหน่ง
วันศุกร์ ติดตามตัวเลขส่งออก (Exports) ของ ธปท. เดือน ม.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 8.4% YoY และตัวเลขนำเข้า (Imports) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 13.4% YoY ในส่วนของเศรษฐกิจของสหรัฐมีการรายงานดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคพื้นฐานส่วนบุคคล (Core PCE Price Index) เดือน ม.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 2.6% YoY ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 2.8% YoY ต่อด้วย ดัชนีรายได้ส่วนบุคคล (Personal income) เดือน ม.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 0.3% MoM เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 0.4% MoM และ ดัชนีการใช้จ่ายส่วนบุคคล (Personal spending) เดือน ม.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 0.3% MoM เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 0.7% MoM