Daily Focus: Thai ESG Extra จะช่วยลดแรงขาย LTF ที่กดดัน

2025 SET Target: 1390

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงแรงในช่วงเช้าตามตลาดหุ้นทั่วโลก จากความกังวล US Recession อย่างไรก็ตาม มีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่เข้ามาหนาแน่นในช่วงบ่าย หนุนให้ดัชนีพลิกมาปิดบวกได้ถึง 10.19 จุด ที่ระดับ 1187.63 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5 หมื่นลบ. สถาบันในประเทศพลิกมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 1.9 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิแต่บางลงเหลือ 1 พันลบ. (และพลิกมา Long Index Futures สุทธิ 9.4 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index แกว่งตัวในกรอบมีโอกาสปรับตัวลงหลุดแนวรับ Low เดิม 1,180-1,197 จุด โดยภาพรวมบรรยากาศการลงทุนยังคงผันผวนและถูกกดดันจากการเก็บภาษีตอบโต้ระหว่างสหรัฐฯ-แคนาดาซึ่งสะท้อนถึงความไม่นอนในระยะถัดไป ตลาดยังคงกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯที่อาจชะลอตัวลง ขณะที่ความเสี่ยงเงินเฟ้อที่สูงขึ้นยังคงอยู่ โดยคืนนี้ต้องติดตามตัวเลขเงินเฟ้อ CPI (ตลาดคาด Headline +0.3% m-m, +2.9% y-y Core +0.3% m-m, +3.2% y-y) หากออกมาสูงกว่าคาดจะกดดันสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่องกลับกัน หากชะลอตัวและต่ำกว่าคาดจะผ่อนคลายกับตลาดและเพิ่มโอกาสที่ FED จะลดดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น ส่วนปัจจัยในประเทศตลาดได้ Catalyst บวกจากกองทุน Thai ESG Extra สำหรับโยกเม็ดเงิน LTF เดิมเพื่อถือครองต่อเนื่องและลดหย่อนภาษีเพิ่ม คาดว่าจะช่วยชะลอแรงขาย LTF จากฝั่งสถาบันที่ถูกลูกค่า Redeem ได้ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม เรายังคงให้น้ำหนักสูงสุดจากปัจจัยพื้นฐานทั้งการเติบโตของ GDP และ EPS เรายังมองกลุ่ม Domestic Defensive และ Tourism-Related Play น่าจะยังมีแนวโน้มปรับตัวดีกว่า Global-Related Play ที่ถูกกระทบจากความเสี่ยงของต่างประเทศ

กลยุทธ์ : ยังเน้น Selective Buy หุ้นที่มีแนวโน้ม 2025 แข็งแกร่ง และ Valuation ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดอย่างมีนัยยะ

หุ้นเด่นเดือน มี.ค. : BA, BTG, CPALL, MTC, PR9

FSSIA Portfolio: BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO, SHR

หุ้นเด่น Finansia 12 มี.ค. 25 : CPALL

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 83 บาท
  • โมเมนตัมกำไร 1Q25 คาดว่าจะยังเติบโตได้ต่อเนื่อง y-y หนุนจาก SSSG QTD ที่ยังคงเป็นบวกได้ราว 1-3% ทั้ง 7-Eleven และ CPAXT โดยยังตั้งเป้า SSSG ทั้งปีเติบโตราว +3% ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
  • เราคาดกำไรปี 2025 ที่ 2.8 หมื่นลบ. +10% y-y และมีแรงหนุนจาก Synergy Value ของ CPAXT ที่จะเห็นผลชัดขึ้นใน 2H25 นอกจากนี้เราคาด CPALL จะเป็นเป้าในการซื้อกลับจากการมาของ Thai ESG Extra ในอนาคตและการแจกเงินหมื่นเฟส 3
  • แนวรับ 50//48.75 บาท แนวต้าน 53-53.50//55 บาท 

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลออกจากภูมิภาคสุทธิหนาแน่น US$2,381 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ US$1,291 ล้านและ US$1,025 ล้าน ตามลำดับ ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินไหลออกจากทุกประเทศ สูงสุดที่ไทยและอินโดนีเซียประเทศละ US$20-30 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ายังอยู่ในทิศทางไหลออกจากความไม่แน่นอนเรื่องการเก็บภาษีสินค้าของสหรัฐฯตอบโต้ต่อประเทศอื่นๆที่จะรุนแรงขึ้นหรือไม่

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) ครม.ไฟเขียว Thai ESG Extra โดยแบ่งเป็น 1) ให้สามารถโยกเงินจาก LTF มาอยู่ในกองทุน Thai ESG Extra, ได้สูงสุด 5 แสนบาท 2) ให้ซื่อ Thai ESG Extra เพิ่มได้อีก 3 แสนบาทในปี 68 โดยจะต้องซื้อในช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย. ปีนี โดยรวมมองเป็น Sentiment บวกออนๆ ต่อ SET Index โดยจะช่วยลดแรงกดดันจากการทยอยขาย LTF ได้ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าอย่างไรก็ตามโฟกัสหลักยังคงอยู่ที่การเติบโตของเศรษฐกิจและ EPS ตลาด

(0) กลุ่มไฟฟ้า กกพ. เปิดรับฟังความเห็นการปรับค่าไฟฟ้างวด พ.ค. – ส.ค. 2025 ตั้งแต่ 11-24 มี.ค.นี้ แบ่งเป็น 3 แนวทาง  คือ ค่าไฟฟ้าต่อหน่วยล่าสุดที่ 4.15 บาท, 4.95 บาท และสูงสุดที่ 5.16 บาท เชื่อว่ากรณีค่าไฟฟ้าที่ 4.15 บาท น่าจะเป็นไปได้สุด และดีกว่าที่เราคาด อย่างไรก็ตามรัฐบาลจะเคาะราคาสุดท้ายเดือนหน้า หากรัฐบาลยังคงมีนโยบายช่วยเหลือค่าของชีพประชาชน รัฐบาลอาจจะยังสามารถกดค่าไฟฟ้าต่ำได้อีก โดยการปรับลดหรือชะลอการจ่ายคืนต้นทุนคงค้างของ กฟผ. ส่วนกรณีที่ตรึงค่าไฟฟ้าไว้ที่ 4.15 บาท/ หน่วย จะมีผลกระทบต่อโรงไฟฟ้ากลุ่ม SPP จำกัด อย่าง BGRIM, GPSC และ WHAUP ขณะที่ GULF กระทบเล็กน้อย ยังให้น้ำหนักลงทุนในกลุ่มนี้เป็น Underweight Top pick เป็น RATCH ราคาเป้าหมาย 34.80 แนะนำ ซื้อ

(-) กลุ่มเดินเรือ ค่าระวางเรือเดินทะเลปี 2025 มีแนวโน้มอ่อนตัว จากความต้องการที่อ่อนแอและจำนวนกองเรือที่เพิ่มขิ้น ขณะที่ปริมาณเรือตู้ container ดูเหมือนจะ oversupply ซึ่งจะทำให้ค่าระวางเรือตู้ปรับลงแรง ส่วนค่าระวางเรือเทกองจะไม่ปรับลงเร็ว เราปรับลดประมาณการกำไรปกติของกลุ่มเรือเทกองลง 17-18% จากต้นทุนการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่สูงกว่าคาด เป็นกำไรปกติของกลุ่มเดินเรือรวมปี 2025 -18% y-y สำหรับค่าระวางเรือที่มีแนวโน้มปรับลงในปี 2025 โดยปัจจุบันดัชนีค่าระวางเรือ BSI ยังปรับลง 6.4% YTD และเราปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2025 ยังคงคำแนะนำ “ถือ” สำหรับ PSL ราคาเป้าหมาย 7 บาท และ TTA ราคาเป้าหมาย 5.50 บาท

(+) BDMS รายได้ผู้ป่วยคนไทยโตราว 6-7% y-y ในช่วง ม.ค. -ก.พ. ส่วนต่างชาติ Middle East โต 25% y-y, Europe 12-13% Y-y และ CLMV 10-12% y-y ในช่วง 1H25 ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้คนไทยโต 4-6% y-y และต่างชาติโต 10-15% y-y ส่วน EBLIDA Margin คาดอยู่ที่ 24-25% ส่วนผลกระทบเรื่อง Co-pay น่าจะมีจำกัด โดยปัจจุบันกลุ่ม simple disease และมีการ claim มากกว่า 3 ครั้งต่อปี คิดเป็นสัดส่วนรายได้เพียง 1-2% คงประมาณการและราคาเป้าหมาย 36.50 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(0) CHG รายได้ผู้ป่วยทัวไปเดือน ม.ค.-ก.พ. เพิ่มขึ้น y-y แต่รายได้ผู้ป่วยประกันสังคมลดลุงจากจำนวนผ่าตัดกระเพาะที่ลดลง เราปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2025-26 ลง 5-6% เพื่อสะท้อนรายได้ผู้ป่วยที่จ่ายค่ารักษาเองลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 2.90 บาท แม้คาดกำไร 1Q25 จะยังชะลอตัว y-y แต่จะฟื้นตัวใน 2Q25 จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

(+) PYLON ผู้บริหารมองอุตสาหกรรมเสาเข็มเจาะที่ดีขึ้นในปี 2025 แนวโน้มมาร์จินทยอยดีขึ้น ปัจจุบันมี Backlog ที่ 1.3 พันลบ. บริษัทมองว่ารับงานเพิ่มได้อีกู 400-500 ลบ. ในปีนี้ คาด 1Q25 จะพลิกเป็นกำไรจากขาดทุนใน 4Q24 และ +y-y และจะเร่งขึ้นใน 2Q25-3Q25 จากงานใหม่ อาทิ รถไฟฟ้าสายสีส้ม, ทางด่วนจตุโชติ เบื้องต้นหากเราให้สมมุติฐานรายได้ปี 2025 +30%y-y บน GPM 14% จะได้กำไรสุทธิ 50-60 ลบ. ฟื้นตัวจากปี 2024 ที่ 0.5 ลบ.

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 478.23 จุด หรือ -1.14%, ปิดที่ 41,433.48 จุด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดาเป็นสองเท่า โดยนักลงทุนกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรล่าสุดนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือน ท่ามกลางความกังวลว่านโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาจกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดาเป็น 50%

(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวกเป็นส่วนใหญ่ สวนทางตลาดสหรัฐฯ หลังโดนัลด์ทรัมป์ กลับลำประกาศจะไม่เพิ่มการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดาเป็นสองเท่าหลังการข่มขู่ก่อนหน้านี้

(+) ค่าเงินบาท แข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 33.92 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -0.60%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 22 เซนต์ หรือ 0.33% ปิดที่ 66.25 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันลดช่วงบวก เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรที่จะมีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก โดยล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯประกาศเพิ่มการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดาเป็นสองเท่า ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 66.62 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.56%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 21.50 ดอลลาร์ หรือ 0.74% ปิดที่ 2,920.90 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยหนุนตลาดนอกจากนี้ ความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าที่มีต่อเศรษฐกิจ ทั่วโลกยังทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 2,920.00 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.03%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 895.20/ 0.39%

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

12 มี.ค.สหรัฐ: เงินเฟ้อ CPI (ก.พ.)
13 มี.ค.สหรัฐ: Core PPI (ก.พ.), initial Jobless Claims
14 มี.ค.จีน: New Yuan Sales, Vehicle Sales (ก.พ.)
17 มี.ค.สหรัฐ: ค้าปลีก (ก.พ.)

จีน: ค้าปลีก (ม.ค.-ก.พ.)

18 มี.ค.สหรัฐ: Housing Starts

แคนนาดา: เงินเฟ้อ (ก.พ.)

- Advertisement -