บล.กรุงศรีฯ:
KSS Strategist Comment : Impacts of the US Trade war
Facts: นับตั้งแต่ต้นปี(ytd) ดัชนี MSCI Asis ex- Japan +2.8% ดัชนี S&P500 -5.3% และ SET – 15.2% รับข่าวสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้ากับจีน 20%และขึ้นภาษีแคนาดา (เหล็ก, อลูมิเนียม 25%) ประเด็นสำคัญ คือ ภาษีนำเข้าแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่สหรัฐจะขึ้นกับทุกประเทศทั่วโลก 4 เม.ย.
Key Idea :
- KSS ประเมินประเทศที่มีความเสี่ยงหลักๆ คือ อินเดีย, เวียดนาม ส่วน ไทย เราประเมินความเสี่ยงในระดับที่รองลงมา
- KSS ประเมิน Sensitivity จากความเสี่ยง US Trade war หากส่งออกไปสหรัฐลดลง 1% จะกระทบ GDP Growth ไทย มี Downside ลดลง 0.1% อย่างไรก็ตาม SET Index คาดใกล้เข้าสู่ช่วงปลายความผันผวน เนื่องจาก SET Index รับข่าวลบไปมากแล้ว ดัชนีระดับปัจจุบันอยู่ในโซน Deep Value คือ มีค่า Equity Risk Premium ที่ 4.72% ใกล้ระดับ +2 S.D.
- ผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้า ต่อ Sector หุ้นไทย ประเมินกลุ่มที่จะได้ประโยชน์ทางบวกหลักๆ คือ กลุ่มนิคมฯ หนุนจากเม็ดเงินทางตรง (แต่กรณี Reciprocal Tariff คาดจะได้ผลบวกจำกัด) ทิศทางราคาน้ำมันดิบเป็นขาลงจากความกังวลผลกระทบต่อเศรษฐกิจ บวกต่อ กลุ่มการบินในฝั่งต้นทุน และกลุ่มสถานีบริการน้ำมัน จะทำให้แรงกดดันจากการแทรกแซงค่าการตลาดลดลง และ กลุ่มถุงมือยางหนุนจาก Volume จะเร่งขึ้นหากสหรัฐเก็บภาษีถุงมือยางจาก และกลุ่มเครื่องดื่ม หนุนจากต้นทุนอะลูมิเนียมปรับลง
- Sector ได้รับผลกระทบทางลบ มีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกชะลอลง คือ กลุ่ม Global Play ทั้งกลุ่มพลังงาน ส่งออก คือ ชิ้นส่วน, พลังงานต้นน้ำ, โรงกลั่น, ปิโตรเคมี ,ยาง และ ส่งออกเนื้อสัตว์ ค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง
กลยุทธ์การลงทุน : เป้าหมายดัชนีปี 2025F ใหม่ลงที่ระดับ 1418 จุด โดยใช้สมมติฐานกำไรตลาด (EPS) ปี 2025F ที่ 90 บาท , Equity Risk Premium 4.16% จะได้ Target PER 15.75 เท่า แนะนำให้ Overweight หุ้น Deep Value ที่มีความมั่นคงระยะ 2-3 ปีข้างหน้า และอยู่ในโซนลงทุนกลาง-ยาว โดยมีหุ้นเด่น คือ AOT BDMS, BH, BBL, CPALL, GPSC, HMPRO, KBANK, MINT, SCGP