Daily Focus: ลุ้น Rebound ต่อเนื่องระยะสั้น
2025 SET Target: 1390
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งกว่าที่คาด ปิดบวก 14.12 จุด ที่ระดับ 1,173.76 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นขึ้นเป็น 3.9 หมื่นลบ. หนุนโดยกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น จากความคาดหวังเชิงบวกต่อจีนที่อาจประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ สถาบันในประเทศพลิกมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 1.2 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิบางๆ 120 ลบ. (และ Long Index Futures สุทธิอีก 1.1 หมื่นสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index มีลุ้น Rebound ได้ต่อเนื่องเข้าหากรอบ 1,180-1,185 จุด โดยยังคงได้แรงหนุนจากความคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน หลังเริ่มเปิดเผยรายงานพิเศษวานนี้ในการผลักดันอุปสงค์ในประเทศ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯสามารถฟื้นตัวได้ระยะสั้น ช่วยหนุน Sentiment ได้เช่นกัน แม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะออกมาไม่ค่อยดีนัก โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคมิชิแกนเดือน มี.ค. ปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกันเหลือ 57.9 ขณะที่เงินเฟ้อคาดการณ์ 1 ปีและ 5 ปีข้างหน้าปรับตัวขึ้นเป็น 4.9% และ 3.9% ตามลำดับ ขณะที่ประเด็นการเก็บภาษีการค้าตอบโต้กับระหว่างสหรัฐฯและประเทศต่างๆ ยังเป็นปัจจัยความไม่แน่นอนที่ยังจำกัด Upside ส่วนสัปดาห์นี้โฟกัสหลักจะอยู่ที่การประชุม FED ซึ่งคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างแน่ที่ 4.25-4.5% แต่ต้องติดตามถ้อยแถลงของประธาน FED ภายหลังการประชุม เราประเมินว่า SET Index ที่ปรับตัวร่วงแรงกว่า 20% จาก High ปลายปีก่อน ทำให้ Valuation ระยะกลาง-ยาวน่าสนใจ โดยเทรด PER และ PBV เพียง 12.4 เท่าและ 1.13 เท่า ตามลำดับ ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนโควิดอย่างมีนัยยะ และเป็นจังหวะในการทยอยสะสม โดยยังคงชอบกลุ่ม Domestic และ Tourism-Related Play ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่า Global-Related Play ที่อาจถูกกระทบจากความไม่แน่นอนของประเด็นการค้าและเศรษฐกิจโลก
กลยุทธ์ : ยังเน้น Selective Buy หุ้นที่มีแนวโน้ม 2025 แข็งแกร่ง และ Valuation ต่ำกว่า ช่วงก่อนโควิดอย่างมีนัยยะ
หุ้นเด่นเดือน มี.ค. : BA, BTG, CPALL, MTC, PR9
FSSIA Portfolio: BA, BBL, BTG, CPALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO, SHR
หุ้นเด่น Finansia 17 มี.ค. 25 : NSL
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 43 บาท
- ตั้งเป้ารายได้ปี 2025 โต 16-17% y-y โดย 1QTD ยังโตได้ตามแผน สินค้าใหม่ และลูกค้าใหม่ยังเข้ามามากขึ้น และจะเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในโรงงานผลิตชีส ที่เพิ่งเริ่ม Operate 4Q24 ขณะที่กลุ่มน้ำมะพร้าว/น้ำผลไม้ส่งออก จะถูกรวมรายได้เข้ามาเต็มปี
- ระยะสั้นคาดกำไร 1Q25 แข็งแกร่งและมี Catalyst บวกจากแซนวิชใหม่ที่ Collab กับเนื้อแท้ซึ่งกระแสดีมาก สมมติฐานรายได้ปี 2025 ของเราคาดไว้ +14% และกำไรสุทธิปี 2025 ที่ 600 ลบ. ถือว่า conservative และมี Upside ปัจจุบันราคาเทรด PER ไม่แพงเพียง 14 เท่า
- แนวรับ 27.75-27.50//26.50 บาท แนวต้าน 29-29.25//30 บาท
Fund Flow : เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนต่างชาติยังคงไหลออกจากภูมิภาคต่อเนื่องแต่บางลงเหลือ US$460 ล้าน เม็ดเงินยังออกสูงสุดที่ไต้หวัน US$285 ล้าน รองลงมาคือ อินโดนีเซีย US$108 ล้าน ส่วนอาเซียนอื่นๆไหลออกบางๆทั้งไทยและเวียดนาม มีเพียงฟิลิปปินส์ที่ไหลเข้าเล็กน้อย แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ามีโอกาสพลิกมาไหลเข้าหลังเม็ดเงินไหลกลับเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้นหลังปรับตัวลงแรงในช่วงก่อนหน้า ขณะที่ประเด็นหนุนหลักยังคงเป็นความคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศของจีน
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) SISB เชื่อว่าการศึกษาในโรงเรียนนานาชาติยังเป็นที่ความต้องการต่อเนื่อง แม้อัตราการเกิดของคนไทยจะลดลง โดยช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีจำนวนโรงเรียนนานาชาติขยายตัวเฉลี่ยปีละ 4.9% CAGR อีกทั้งด้วยระบบการเรียนการสอนที่เป็นมาตรฐานสากล ชีวิตความเป็นอยู่ของนักเรียนและพ่อแม่ที่ดี และโรงเรียนไม่ได้เน้นการสร้างผลกำไรแต่เพียงอย่างเดียว ทำให้ตลาดนี้ยังโอกาสการเติบโตในอนาคต อย่างไรก็ดี เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2025-26 ลง 6.4% และ 8.7% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนค่าเทอมปีการศึกษาหน้า ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเหลือ 3% จาก 5% จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ได้ราคาเป้าหมายใหม่เป็น 39 บาท ราคาปัจจุบันเทรด PE ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ยังแนะนำ “ซื้อ”
(+) GUNKUL บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 10-15% ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าสีเขียวทั้งหมด 1,479 MW และ 832 MW ที่พึ่งได้รับ PPA จากการประมูลกับกฟผ. ล่าสุด ที่อยู่ระหว่างการรอพัฒนาโครงการ ซึ่งเราเชื่อว่า GUNKUL น่าจะหา Partner เข้าร่วมลงทุนในโครงการเหล่านี้ นอกจากนี้บริษัทยังธุรกิจรับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้า สถานีไฟฟ้า data center และเทรดดิ้งอุปกรณ์ไฟฟ้า IAA consensus คาดกำไรสุทธิปี 2025 ที่ 1.6 พันลบ. ราคาเป้าหมาย 3.50 บาท
(+) STECON ประกาศรับงานก่อสร้าง Data Center 2 โครงการ มูลค่า 1.6 หมื่นลบ. ประกอบด้วยโครงการ CHN-1A และ CHN-2A จากบริษัท ควอตซ์ คอมพิวติ้ง จำกัด เริ่มงาน 1 เม.ย. 2025 ใช้เวลา 2 ปี ผลักดันให้ Backlog ปัจจุบันไต่ขึ้นเป็น 1.3 แสนลบ.เทียบเท่ารายได้ 3-4 ปี ราคาเป้าหมายปัจจุบันอยู่ที่ 8 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 674.62 จุด หรือ +1.65%, ปิดที่ 41,488.19 จุด ปิดดีดตัวขึ้นในวันศุกร์ (14 มี.ค.) หลังจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นราคาถูกในช่วงสิ้นสุดสัปดาห์ที่ผันผวน ซึ่งเกิดจากสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ของสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงขึ้น จนนำไปสู่ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและทำให้ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลดลง
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกในวันศุกร์ (14 มี.ค.) นำโดยตลาดหุ้นเยอรมนี้ หลังพรรคการเมืองบรรลุข้อตกลงเพิ่มการกู้ยืมภาครัฐครั้งประวัติศาสตร์
(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวก หลังรัฐบาลจีนประกาศจะดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตราการพิเศษในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
(+) ค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่บริเวณ 33.63 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -0.23%
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 63 เซนต์ หรือ 0.95% ปิดที่ 67.18 ดอลลาร์/บาร์เรล ปิดดีดตัวขึ้นในวันศุกร์ (14 มี.ค.) และปิดตลาดในสัปดาห์นี้แทบไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่นักลงทุนประเมินแนวโน้มที่ลดลงของการยุติสงครามในยูเครนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งการยุติสงครามนั้นอาจทำให้มีพลังงานจากรัสเซียกลับเข้าสู่ตลาดตะวันตกมากขึ้น ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 67.70ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ 0.77%
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 9.80 ดอลลาร์ หรือ 0.33% ปิดที่ 3,001.10 ดอลลาร์/ออนซ์ ปิดพุ่งขึ้นทะลุ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกในวันศุกร์ (14 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนแห่เข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 2,999.40 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.06%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 906.41/ 0.07%
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
17 มี.ค. | สหรัฐ: ค้าปลีก (ก.พ.) // จีน: ค้าปลีก (ม.ค.-ก.พ.) |
18 มี.ค. | สหรัฐ: Housing Starts // แคนนาดา: เงินเฟ้อ (ก.พ.) |
19 มี.ค. | ญี่ปุ่น: ประชุม BoJ // สหรัฐ: ประชุมเฟด |
20 มี.ค. | ยูโรโซน: ประชุม BoE // สหรัฐ; Existing Home Sales |
21 มี.ค. | ญี่ปุ่น: เงินเฟ้อ (ก.พ.) |