เจาะแผน “แอสเซทไวส์” ก้าวต่ออย่างมั่นคง มุ่งรักษาสภาพคล่อง ทยอยโอนคอนโดต่อเนื่อง พร้อมขยายทำเลหลักใกล้สถานศึกษาและภูเก็ต สร้างการเติบโตระยะยาว
แม้เป็น “บริษัทมหาชน” ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพียง 4 ปี แต่บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW สามารถยืนหยัดฝ่าความผันผวนของตลาดในปี 2567 รักษาอันดับ Top 10 ของอุตสาหกรรม และทำผลงาน New High สร้างสถิติสูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา 20 ปี ด้วยรายได้รวม 9,987 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,457 ล้านบาท จากการรักษาวินัยทางการเงิน การขยายทำเลไปภูเก็ต และเดินหน้ากลยุทธ์ Lifestyle Marketing ทำให้ ASW เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้บริษัทพร้อมเดินหน้าต่อในปี 2568 อีกหนึ่งปีแห่งความท้าทายของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย
กลยุทธ์หลักที่ “กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) ประกาศใช้ในปี 2568 คือ “Growing Success, Growing Happiness” มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคง พร้อมตั้งเป้าหมายยอดขาย 19,500 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 10,500 ล้านบาท โดยมี Backlog อยู่ 25,413 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ราว 11,699 ล้านบาท และทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 2570
“การรักษาสภาพคล่อง” ยังเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ASW จึงเตรียมทยอยโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้ในโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,050 ล้านบาท เช่น โครงการเคฟ โคโค่ บางแสน (Kave Coco Bangsaen) มูลค่า 2,000 ล้านบาท โครงการเคฟ วันเดอร์แลนด์ (Kave Wonderland) ตรงข้าม ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต มูลค่า 2,550 ล้านบาท และโครงการเดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา (THE TITLE Legendary Bang–Tao) Leisure Residences ในภูเก็ต มูลค่า 4,500 ล้านบาท เป็นต้น ที่จะเป็นแรงส่งหลักในการสร้างการรับรู้รายได้ในปี 2568 นี้
“Growing Success คือสร้างการเติบโตให้กับบริษัทด้วยการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในทำเลที่เราถนัดและมีดีมานด์สูง โดยปีนี้ ASW มีแผนเปิดโครงการใหม่ 10 โครงการ มูลค่ารวม 22,000ล้านบาท ส่วน Growing Happiness คือเราจะสร้างความสุขให้กับลูกค้า พนักงาน พันธมิตร และสังคม ผ่านธุรกิจใหม่ของ ASW ที่เชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้า และกิจกรรมต่างๆ ที่เราสนับสนุนหรือจัดขึ้นตลอดทั้งปี ซึ่งทั้งสองแนวทางนี้เป็นการสะท้อนตัวตนของ ASW บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์” กรมเชษฐ์ อธิบาย
หากเจาะแผนของ ASW จะพบว่าพอร์ตคอนโดมิเนียมยังเป็น Key Engine ในการขับเคลื่อนยอดขายและรายได้ของบริษัท จากการเปิดโครงการใหม่ครบทั้ง 3 แบรนด์หลัก คือ Kave, Atmoz และModiz ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 5 โครงการ มูลค่าทั้งหมด 9,800 ล้านบาท โดยเฉพาะ “ทำเลถนัด” ใกล้มหาวิทยาลัย หรือกลุ่มแคมปัสคอนโดที่กระแสตอบรับดีในหลายทำเลที่เปิดตัว เช่น ย่านรังสิตทั้งฝั่ง ม.กรุงเทพ และ ม.ธรรมศาสตร์ ปีนี้ ASW ยังขยายมาทำเล “พรีแคมปัส” หน้าโรงเรียนดัง รร.บดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) รองรับความต้องการของผู้ปกครองที่มีลูกเรียนมัธยมศึกษาด้วย
อีก Strategic Location สำคัญอย่าง “ภูเก็ต” มีกลุ่ม Leisure Residences ที่พัฒนาโดยบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE บริษัทย่อยในเครือ เป็นเรือธงสำคัญ ซึ่งปีนี้มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 10,700 ล้านบาท ล่าสุด ด้วยความอลังการของ “สระว่ายน้ำและส่วนกลาง” ของ โครงการเดอะ คาตาเบลโล (THE KATABELLO)โครงการแรกของ THE TITLE ในกะตะ มูลค่า 5,500 ล้านบาท และโครงการอะดอร่า ราไวย์ (ADORA RAWAI) มูลค่า 1,400 ล้านบาท ทั้ง 2 โครงการกวาดยอดจองไปแล้วกว่า 50% ส่วนโครงการเดอะ ไทเทิล บาลโคนี ในยาง (THE TITLE Balcony Naiyang) มูลค่า 3,800 ล้านบาท จะเปิดตัวในไฮซีซั่นถัดไป
นอกจากขยายทำเลเพิ่มแล้ว THE TITLE ยังนำความเชี่ยวชาญในภูเก็ต และความเข้าใจ Insight ที่สั่งสมมากว่า 12 ปี มาต่อยอดสู่โครงการ “Luxury Villa” เป็นครั้งแรกอีก 2 โครงการ เริ่มจากโครงการเดอะ ไทเทิล วิลล่า เอสเตลลา ในยาง (THE TITLE Villa Estella Naiyang) วิลล่าพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว จำนวน 26 ยูนิต มีพื้นที่ส่วนกลางและสวนสีเขียวกว่า 1 ไร่ ใกล้หาดในยางเพียง 600 ม. มูลค่า 500 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 70% หลังเปิดขายเพียง 1 สัปดาห์ และโครงการเดอะ ไทเทิล วิลล่า เชิงทะเล (THE TITLE Villa Cherngtalay) ทำเลฮอตใจกลางเกาะภูเก็ต มูลค่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวในไฮซีซั่นถัดไปเช่นกัน ทำให้ปีนี้พอร์ตภูเก็ตมีโครงการเปิดใหม่ทั้งสิ้น 5 โครงการ รวมมูลค่า 12,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นราว 55% ของมูลค่าโครงการใหม่ทั้งหมดในพอร์ตปีนี้
“ดีเอ็นเอของ ASW คือส่วนกลางขนาดใหญ่ รองรับการใช้งานได้หลากหลายฟังก์ชัน ซึ่งถือเป็นจุดเด่นที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกโครงการของเรา เมื่อร่วมกับ TITLE ที่โดดเด่นด้านทำเลและคุณภาพอยู่แล้ว เราจึงนำดีเอ็นเอนี้ใส่ในโครงการ THE TITLE ด้วย เพราะเราเชื่อว่าลูกค้ากลุ่ม Leisure Residences ไม่ได้แค่ซื้อที่อยู่อาศัย แต่กำลังลงทุนในคุณภาพชีวิตและไลฟ์สไตล์การพักผ่อน ซึ่งกระแสตอบรับจากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติในปีที่ผ่านมา ทำให้เรามั่นใจในการเดินหน้าตลาดภูเก็ตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นอีกหนึ่ง Key Engine ที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับ ASW ในระยะยาว” กรมเชษฐ์ กล่าว
ทั้งนี้ ด้านความน่าเชื่อถือ ASW ติดอันดับหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ระดับ “AA” จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) พร้อมผลประเมินการกำกับดูแลกิจการของบริษัทจดทะเบียนไทย (CGR) ระดับ 5 ดาว “ดีเลิศ” (Excellent) เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน และมีอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ระดับ “BBB-” แนวโน้ม “Positive” จากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2567 ล่าสุด บริษัทได้เสนอขายหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2568 เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ จำนวน 2 รุ่น ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.30-5.40% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.90-6.00% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท เพื่อใช้ในการซื้อทรัพย์สิน ลงทุน หรือใช้จ่ายในกิจการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน และใช้หมุนเวียนระยะสั้นในกิจการ โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นกู้วันที่ 1-3 เม.ย. 2568 ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ทั้งหมด 14 แห่ง
สำหรับบริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงและแนวราบบนทำเลศักยภาพ ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” ปัจจุบันได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 75 โครงการ ภายใต้แบรนด์ในเครือที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความสุขให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ แบรนด์ เคฟ (KAVE), แบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ), แบรนด์ โมดิซ (MODIZ), แบรนด์ เอสต้า (ESTA), แบรนด์ ดิ อาเบอร์ (THE ARBOR), แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR) รวมถึงแบรนด์ภายใต้ บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ “TITLE” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ รวมมูลค่าโครงการกว่า 121,731 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ 22 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา 19 โครงการ และ ณ สิ้นปี 2567 มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 25,413 ล้านบาท