บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 27/03/68
สภาพคล่อง…แห้งเหือด
TOP PICK : GPSC / WHA / BJC
EXTERNAL FACTOR
• วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงมาราว -0.3% ถึง -2.0% หลัง ปธน. TRUMP ประกาศเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ทุกคันที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐ เริ่มวันที่ 2 เม.ย. 68
• สำหรับการนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 6.6% ของทั้งหมด ในปี2024 โดยมีเม็กซิโก ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นประเทศนำเข้าหลัก
• หากเทียบสัดส่วนการส่งออกรถยนต์จากไทยไปสหรัฐฯ ต่อ GDP ล่าสุดต่ำกว่า 0.5%แต่ถือเป็นความเสี่ยงโดยตรงต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ ภาคการผลิตชิ้นส่วนและส่งออกยานยนต์ เป็นต้น
INTERNAL FACTOR
• วานนี้มี 2 ประเด็นในประเทศที่คอยพยุงตลาดฯให้ไม่ผันผวนแรง คือ 1.กกพ. ประกาศตรึงค่าเอฟที 36.72 สตางค์/หน่วย งวดเดือน พ.ค. – ส.ค.2568 ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บเฉลี่ย 4.15 บาท/หน่วย เท่ากับงวด ม.ค.-เม.ย. 2568 2.โครงการเราเที่ยวด้วยกัน รัฐจ่ายคนละครึ่ง ตั้งเป้าเริ่มใน ช่วง LOW SEASON ตั้งแต่เดือน พ.ค.68 -ก.ย.68
• ส่วนหุ้นที่คาดได้ประโยชน์จากทั้ง 2 ประเด็น คือ กลุ่มโรงไฟฟ้า SPP อาทิ BGRIM GPSC และ กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม อาทิ ERW CENTEL MINT เป็นต้น
INVESTMENT STRATEGY
• มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยแห้งเหือด เหลือเพียง 2.6 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากระดับเฉลี่ยปีนี้ที่ 4.3 หมื่นล้านบาทต่อวัน ซึ่งมูลค่าซื้อขายที่ลดลงมาจากการชะลอการลงทุนจากต่างชาติมากสุด และยังสอดคล้องกับตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ที่ลดลงระดับ 20% -40%
• ภายใต้มูลค่าซื้อขายเบาบาง แนะนำTRADING หุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว จากมาตรการคงค่าไฟฟ้า GPSC BGRIM มาตรการเราเที่ยวด้วยกันรัฐจ่ายคนละครึ่ง ERW MINT CENTEL และหุ้นอิงราคาน้ำมัน PTTEP, PTT, BCP, TOP
TRUMP ทำเซอร์ไพร์ส ประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์เพิ่ม 25%
. มูลค่าซื้อขายหุ้นทั่วโลกเบาบางมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย 1 เดือนที่ผ่านมา (ไม่ใช่แค่ไทย) สะท้อนเม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่รออยู่ข้างหน้า โดยวันที่ 2 เม.ย. 68 นี้ จะมีการประกาศเรียกเก็บภาษีตอบโต้ (RECIPROCAL TARIFFS) ซึ่ง LIST รายชื่อกลุ่มประเทศเป้าหมายยังไม่มีความชัดเจน
. ขณะที่วานนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงมาราว -0.3% ถึง -2.0% หลัง ปธน. TRUMP ประกาศเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% ทุกคันที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐ เริ่มวันที่ 2 เม.ย. 68 ทั้งนี้การปรับเพิ่มภาษีรถยนต์ 25% จะทำให้อัตราภาษีเฉลี่ยของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1.7%
. สำหรับการนำเข้ารถยนต์ ของสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 6.6% ของทั้งหมด ในปี2024 โดยมีเม็กซิโก ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นประเทศนำเข้าหลัก นอกจากนี้ หากเทียบสัดส่วนการส่งออกรถยนต์ ไปสหรัฐฯ ต่อ GDP ในกลุ่มประเทศที่อยู่ในระดับสูง คาดว่าจะได้รับผลกระทบหนัก อาทิ สโลวาเกีย, เม็กซิโก, เกาหลีใต้ ฯลฯ ส่วนบ้านเราอยู่ระดับต่ำกว่า 0.5%
. เมื่อพิจารณาข้อมูลในปี 2023 การส่งออกรถยนต์จากไทยไปสหรัฐฯ เทียบกับการส่งออกทั้งหมด อยู่ที่ 0.9% ขณะที่สัดส่วนการส่งออกรถยนต์จากไทยไปสหรัฐฯ เทียบกับโลก อยู่ที่ 7.2% ซึ่งการปรับขึ้นภาษีรถยนต์เช่นนี้ คาดเพิ่มความเสี่ยงโดยตรงต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ ภาคการผลิตชิ้นส่วนและส่งออกยานยนต์ เป็นต้น
วันนี้ปัจจัยในประเทศมีอะไรน่าติดตาม … มาดูกัน
. วานนี้มี 2 ประเด็นในประเทศที่คอยพยุงตลาดฯให้ไม่ผันผวนแรง คือ 1.กกพ. ประกาศตรึงค่า FT เท่างวดก่อนหน้า 2.โครงการเราเที่ยวด้วยกัน รัฐจ่ายคนละครึ่ง โดยมีรายละเอียด ดังนี้
. 1. กกพ. ประกาศตรึงค่าเอฟที 36.72 สตางค์/หน่วย งวดเดือน พ.ค. – ส.ค.2568 ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าเรียกเก็บเฉลี่ย 4.15 บาท/หน่วย เท่ากับงวด ม.ค.-เม.ย. 2568 ประเด็นดังกล่าวถือเป็น SENTIMENT เชิงบวกต่อภาพรวมกลุ่มโรงไฟฟ้าทั้งกลุ่ม เนื่องจากค่า FT ดังกล่าว ถือว่าสอดคล้องกับแนวทางที่ กกพ. เคยนำเสนอในช่วงก่อนหน้า ที่อยู่กรอบ 36.72 –137.39 สตางค์/หน่วย โดยถือเป็นการเลือกกรณีที่ค่าไฟฟ้าต่ำสุด จากเดิมที่ตลาดเคยมีความกังวลว่าจะมีการปรับลดค่าไฟให้อยู่ในระดับ 3.70-3.98 บาท/หน่วย ดังนั้น เบื้องต้นจึงคาดอัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP อาทิ BGRIM , GPSC ในงวด 2Q68 ยังสามารถอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงเดิม QOQ แนะนำทยอยสะสมในยามที่ราคาหุ้นปรับฐานแรง ตอบรับปัจจัยลบไปมากแล้ว
. 2. โครงการเราเที่ยวด้วยกัน รัฐจ่ายคนละครึ่ง โดยโครงการดังกล่าว รัฐจ่ายคนละครึ่ง ค่าที่พัก ค่าเครื่องบิน ร้านอาหาร ผ่านการลงทะเบียน คูปองดิจิทัล ตั้งเป้าเริ่มใน ช่วง LOW SEASON ตั้งแต่เดือน พ.ค.68- ก.ย.68 โดยมีแผนจะเสนอมาตรการนี้ให้ ครม. พิจารณาอนุมัติในเดือน มี.ค.68 สำหรับจำนวนสิทธิเบื้องต้นให้จอง 1 ล้านสิทธิ และอาจมีการพิจารณาเงื่อนไขเพิ่มเติม เช่น การจองที่พักในจังหวัดหนึ่ง อาจต้องมีการเดินทางไปยังจังหวัดอื่นด้วย เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในเมืองรองตามนโยบาย ซึ่งความเห็นของฝ่ายวิจัยฯมีมุมมองบวก จากการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะในช่วง LOW SEASON ที่การเดินทางจากนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง
คาดมาตรการดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนการดำเนินงานเชิง YOY โดยหากอิงตามสัดส่วนรายได้ กลุ่มที่มีรายได้จากในไทยสูง และมีโรงแรมในเมืองรอง จะได้ประโยชน์จากมาตรการนี้มากกว่ากลุ่มฯ ได้แก่ ERW (จาก HOP INN) สำหรับสัดส่วนรายได้ในไทย เรียงจากมากไปน้อย ดังนี้ ERW (สัดส่วน 89% ) ตามด้วย CENTEL (สัดส่วน 73% ของรายได้โรงแรม) และ MINT (โรงแรมไทยไม่เกิน 20% ของรายได้ : สัดส่วนรายได้หลักๆ อยู่ใน EU ราว 50%) ทั้ง 3 บริษัท ให้คำแนะนำ OUTPERFORM
มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยเหือดแห้ง เลือกเทรดหุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว
. มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยแห้งเหือด วานนี้ เหลือเพียง 2.6 หมื่นล้านบาทต่อวัน เป็นการลดลงจากนักลงทุนต่างชาติมากสุดที่ซื้อขายหุ้นไทยเพียง 1.35 หมื่นล้านบาท (ลดลง -42% จากค่าเฉลี่ยปีนี้ที่ 2.32 หมื่นล้านบาท) อย่างไรก็ตามมูลค่าซื้อขายที่ลดลง สอดคล้องกับมูลค่าซื้อขายตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ ที่ลดลงระดับ 20% -40% เนื่องจากนักลงทุนชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ระหว่างทรัมป์กำลังตัดสินใจตั้งกำแพงภาษีตอบโต้หลายประเทศ
. ภายใต้มูลค่าซื้อขายเบาบางแนะนำ TRADING หุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว จากมาตรการคงค่าไฟฟ้า GPSC BGRIM มาตรการเราเที่ยวด้วยกันรัฐจ่ายคนละครึ่ง ERW MINT CENTEL และหุ้นอิงราคาน้ำมัน PTTEP, PTT, BCP, TOP
นักท่องเที่ยวจีนปันใจ
. นักท่องเที่ยวต่างชาติฯ ตั้งแต่ 1 ม.ค. –23 มี.ค. 68 โต 2.9% YOY มาที่ 8,885,747 คน หรือเฉลี่ย 108,363 คนต่อวัน (เพิ่ม 5.4% จากค่าเฉลี่ยรายวัน 4Q67) ยังถือว่าอัตราการขยายตัวน้อยกว่าสมมติฐานฝ่ายวิจัยที่เพิ่ม 8.6%YOY (38.6 ล้านคน) และภาครัฐ (39 -40 ล้านคน เพิ่มประมาณ 10% YOY) หลังนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยยังน้อยกว่าที่ประเมิน (สัปดาห์ที่ 17 มี.ค. – 23 มี.ค. 68 อยู่ที่ 67,580 คน ติดลบ 4% WOW และยหดตัว 50% YOY) จากความกังวลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน และการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวจากประเทศอื่น โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น
. สถานการณ์ของนักท่องเที่ยวจีน ยังต้องติดตามการฟื้นตัว หากพิจารณาช่วงเกิดเหตุเรือล่มที่ภูเก็ต (ก.ค. 61) นักท่องเที่ยวจีนมาไทย ติดลบติดต่อกัน 5 เดือน จึงเริ่มกลับมาขยายตัว YOY ช่วง ธ.ค. 61 โดยสมมติฐานนักท่องเที่ยวฯ ทั้งปีเริ่มดูท้าทาย แต่ยังอยากติดตามปัจจัยหนุนช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวมาจากวันหยุดอีสเตอร์ที่ปีนี้เลื่อนไปอยู่ เม.ย. (ปีก่อนอยู่ มี.ค.) รวมถึงติดตามการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนช่วงวันแรงงาน (หยุด 5 วัน 1 –5 พ.ค. 68) และ 3Q เข้าสู่ SEASONALITY ของสมุย ซึ่งแนวโน้มนักท่องเที่ยวฯ น่าจะเข้ามามากขึ้น รับประโยชน์จากกระแส WHITE LOTUS ว่าจะเข้ามาสนับสนุนได้มากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ กรณีที่นักท่องเที่ยวฯ ฟื้นช้ากว่าคาด อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวฯ เข้าไทยลงมาอยู่ที่ 37 -37.5 ล้านคน เติบโต 4.1% -5.5% YOY
. สำหรับผลต่อการดำเนินงานกลุ่มฯ มองว่าบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้ในไทยสูง จะได้ผลกระทบจากภาพนักท่องเที่ยวฯ ข้างต้น เรียงจากมากไปน้อยดังนี้ AOT ตามด้วย ERW CENTEL และ MINT (สัดส่วนรายได้ 50% มาจากโรงแรมใน EU)
. ความเห็นเชิงกลยุทธ์การลงทุน ราคาหุ้นในกลุ่มฯ YTD ปรับฐานเฉลี่ย 20% (VS SET INDEX ลบ 15%) ซึมซับปัจจัยลบไปบางส่วนแล้ว ขณะที่มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย อย่าง เราเที่ยวด้วยกัน รัฐจ่ายคนละครึ่ง (50% : 50%) ครอบคลุม ค่าที่พัก ค่าเครื่องบิน ร้านอาหาร เริ่ม พ.ค. – ก.ย. ประกอบกับร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร น่าจะเข้า ครม. วันนี้ (หาก ครม.เห็ นชอบ ก็จะส่งให้รัฐสภา ประกอบด้วย ส.ส. และ ส.ว. พิจารณาเห็นชอบต่อไป) น่าจะช่วยสร้าง SENTIMENT ที่ดีต่อหุ้นในกลุ่มฯ หลังปรับฐานมาอย่างต่อเนื่อง
โดยคงเลือก MINT และ CENTEL เป็น TOP PICK จากโครงสร้างธุรกิจกระจายตัวและในหลายประเทศ (อย่าง CENTEL มีโรงแรมในญี่ปุ่น ) ลดทอนผลกระทบจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวที่ช้ากว่าสมมติฐาน ส่วน ERW มองว่าราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER ราว 13 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 35 เท่า ถือว่าไม่แพงแล้ว ขณะที่ AOT จะรับประโยชน์จากการกระตุ้นท่องเที่ยวไทยน้อยกว่ากลุ่มโรงแรม เพราะค่าบริการผู้โดยสารขาออกในประเทศ (130 บาทต่อคน) ไม่สูงเท่าระหว่างประเทศ (730 บาทต่อคน)