Daily Focus: Moody’s ปรับลด Outlook ไทย//ลุ้นกนง.ลดดอกเบี้ย
2025 SET Target: 1180
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวขึ้นแรงกว่าที่เราคาดว่าจะแกว่งออกข้าง ดัชนีปิดบวกถึง11.59 จุด ณ สิ้นวัน ที่ระดับ 1,171.12 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นขึ้นเป็น 3.5 หมื่นลบ.นำโดยแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ ได้แก่ DELTA GULF ADVANC AOT BDMS TRUE เป็นต้น สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 113 ลบ.และ 597 ลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติพลิกมา Long Index Futures ราว 4.8 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่ง Sideways ในกรอบ 1,160-1,180 จุด โดยมีปัจจัยลบถ่วงคือ Moody’s ที่ปรับลด Outlook ของไทยลงเป็น Negative จากเดิม Stable แต่มีปัจจัยหนุนจากคาดการณ์ที่กนง.จะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมวันนี้ รวมถึงพัฒนาการด้านภาษีการค้าสหรัฐฯที่ผ่อนคลายลงบ้าง โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ กับอินเดียและญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าอาจบรรลุข้อตกลงทางการค้าในเร็วๆ นี้ ขณะที่ทรัมป์ล่าสุดผ่อนปรนภาษีนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์ แต่ยังไม่มีพัฒนาการเจรจาการค้ากับจีนเพิ่มเติม ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคืนนี้คือตัวเลข GDP 1Q25 เงินเฟ้อ PCE เดือน มี.ค. ของสหรัฐฯ ส่วนบ่ายนี้เราคาดกนง.จะปรับลดดอกเบี้ยลงจาก ปัจจุบันที่ 2% สู่ระดับ 1.75% ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่โตต่ำกว่าคาด รวมถึงความเสี่ยงจากสงครามการค้าและภาษีที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะผลกระทบใน 2H25 ซึ่งจะกดดันให้ GDP ไทยปี 2025 โตต่ำกว่า 2% นอกจากนี้ยังต้องติดตามการทยอยประกาศกำไร 1Q25 ของฝั่ง Real Sector ว่าจะต่ำกว่าคาดและนำไปสู่การปรับลดประมาณการ EPS ของตลาดลงเพิ่มเติมจาก ปัจจุบันที่อยู่ราว 91 บาท มากน้อยเพียงใด เรายังคงเน้นลงทุนในกลุ่ม Consumer Staple ที่คาดว่าจะยังเคลื่อนไหวได้แข็งแรงกว่าตลาด ส่วนระยะสั้นเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่คาดกำไร 1Q25 แข็งแกร่งและมีแนวโน้มดีต่อใน 2Q25
กลยุทธ์ : ยังเน้น Selective Buy หุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 1Q25-2025 แข็งแกร่ง และกระทบจำกัดจากภาษีการค้าสหรัฐฯและเศรษฐกิจชะลอตัว
หุ้นเด่นเดือน เม.ย. : BA, BBL, CPF, HMPRO, OSP
FSSIA Portfolio: BA, BBL, BTG, CALL, MTC, NSL, PR9, SEAFCO, SHR
หุ้นเด่น Finansia 30 เม.ย. 25 : CPALL
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 83 บาท
- เราคาดกำไร 1Q25 ที่ 6.8 พันลบ. -2% q-q จากปัจจัยฤดูกาล แต่ +13% y-y หนุนจาก SSSG ที่เป็นบวกได้ราว 3% ทั้ง 7-Eleven และ CPAXT ขณะที่ Margin คาดยังทรงตัวได้ในระดับสูง
- เรายังคงประมาณการกำไรปี 2025 ที่ 2.8 หมื่นลบ. +10% y-y และมองว่าธุรกิจของ CPALL มีความมั่นคงสูงและถูกกระทบจำกัดจากความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยและโลกชะลอตัว ราคาหุ้นเทรด PE ไม่แพงเพียง 16 เท่า เทียบกับในอดีตที่ราว 25-30 เท่า
- แนวรับ 49 บาท แนวต้าน 52//53 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าภูมิภาคสุทธิ US$900 ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$579 ล้าน ตามด้วยไต้หวัน US$310 ล้าน ขณะที่ฝั่งอาเซียนเม็ดเงินไหลเข้าไทย US$18 ล้าน แต่ไหลออกจากเวียดนาม US$10 ล้าน ตลาดยังคาดหวังเชิงบวกต่อพัฒนาการเรื่องภาษีการค้าที่มีแนวโน้มผ่อนคลายขึ้น อย่างไรก็ตามตลาดรอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ โดยเฉพาะสหรัฐฯ คืนนี้ถึงปลายสัปดาห์
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) Moody’s ปรับลด Outlook ไทย โดยปรับลดแนวโน้มอันดับเครดิตของประเทศไทยจาก “Stable” เป็น “Negative” เนื่องจากความเสี่ยงที่ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและการคลังจะอ่อนแอลง โดยเฉพาะจากผลกระทบของภาษีศุลกากรสหรัฐฯ ที่อาจกระทบต่อการส่งออกและการเติบโตของไทย ครั้งล่าสุดที่ถูกปรับ Outlook ลงคือ 4 ธ.ค. 2008 ช่วยเกิดวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ตอบรับเชิงลบ เนื่องจากปรับตัวลงแรงในช่วงก่อนหน้าแล้ว
(+) การประชุมกนง.วันนี้ เราคาดว่ามีโอกาสสูงที่จะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยลงจาก 2% สู่ระดับ 1.75% เนื่องจากธปท.มีแนวโน้มปรับลด GDP ปี 2025 ของไทยลงจากเดิมที่ +2.6% ในเดือน ก.พ. ลงต่ำกว่าระดับ +2% และมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยอีกเพิ่มเติมอีก 1 ครั้งสู่ระดับ 1.5% ในช่วง 2H25 จากผลกระทบของภาษีสินค้าที่ชัดขึ้น ยังมองบวกต่อกลุ่ม ไฟแนนซ์ โรงไฟฟ้า สื่อสารฯ และการบริโภค
(+) SCGP กำไรปกติ 1Q25 ที่ 918 ลบ. +1,397% q-q แต่ -45% Y-Y ดีกว่าเราและตลาดคาด 6%-10% กำไรที่ดีขึ้น q-q หลักๆ มาจากต้นทุนวัตถุที่ปรับลง แต่กำไรที่ลดลง y-y เพราะ 1Q24 เป็นช่วงที่การบริโภคในอาเซียนยังสดใสมาก กำไร 1Q25 คิดเป็น 23% ของประมาณการทั้งบี 2025 ที่ 4 พันลบ. +2.4% y-y ทิศทางผลประกอบการทยอยฟื้นตัวโดยเฉพาะใน 2H25 หลังปรับโครงสร้างการเงินของ Fajar แล้วเสร็จ เรายังคงประมาณการ
(+) SHR คาดกำไรปกติ 1Q25 ที่ 162 ลบ, +12% q-q, +26% y-y ทำสถิติสูงสุดใหม่ หนุนจากผลขาดทุนของโรงแรม SO/Maldives ที่ลดลงมากกว่าคาด และคาด RevPAR รวมเติบโต 5% y-y หลักๆมาจากโรงแรมในไทยที่เติบโต 11-13% หลัง ปรับปรุงโรงแรมแล้วเสร็จ EBITDA margin ดีขึ้น แนวโน้มกำไร 2Q25 เติบโต y-y ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2025 ขึ้น 2-19% ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 3.20 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(0) BCH คาดกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 310 ลบ. -3% q-q หลักๆ มาจากรายได้ผู้ป่วยต่างชาติที่ลดลง โดยคาดรายได้ร่วมทั่วไปเพิ่มขึ้น 2-3% y-Y นำโดยผู้ป่วยในประเทศและสามารถชดเชยได้มากกว่าจากผู้ป่วยต่างชาติที่ปรับลง เนื่อง จากไม่มีผู้ป่วยคูเวตและเป็นช่วง Ramadan ขณะที่ผู้ป่วยประกันสังคมเพิ่มขึ้น 1-2% y-y จากคนลงทะเบียนสมาชิกเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี เชื่อว่ารายได้จากผู้ป่วยต่างชาติตั้งแต่ 2Q25 เป็นต้นไปน่าจะกลับเข้าสู่ระดับปกติ คงคาดกำไรปี 2025 +29%y-y ราคาเป้าหมาย 20 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(0) AP คาดกำไรสุทธิ 1Q25 ที่ 847 ลบ. -35% q-q จากยอดโอนลดลง และ -16% y-y จากอัตรากำไรขั้นตันอ่อนลง อย่างไรก็ตาม คาดกำไร 1Q25 เป็นจุดต่ำสุดของปี ก่อนเร่งขึ้นใน 2Q-30 จากการโอนคอนโดใหม่และเปิดตัวแนวราบมากขึ้น ปรับลดประมาณการกำไรปี 2025-27 ลง 8%/3%/4% จากการปรับลดอัตรากำไรขั้นต้นสะท้อนการแข่งขันสูงท่ามกลางตลาดอสังหาฯ ซบเซา ทำให้ปี 2025 คาดกำไร -6% Y-y และปรับลดราคาเป้าหมายเป็น 9 บาท Valuation โซนต่ำ เทรด PE เพียง 5.3 เท่า คาดปันผล 7% ต่อปี ภาพรวมยังดูแข็งแกร่งกว่ากลุ่มฯและพอร์ตกระลายตัวดี ยังแนะนำ “ซื้อ”
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 300.03 จุด หรือ +0.75%, ปิดที่ 40,527.62 จุด ปิดพุ่งขึ้นกว่า 300 จุด ขานรับความหวังที่ว่าสหรัฐฯ จะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้า ขณะเดียวกันนักลงทุนประเมินรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่มีการเปิดเผยล่าสุด
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มการเงิน หลังการเปิดเผยผลประกอบการของเอชเอสบีซี (HSBC) และดอยซ์แบงก์ (Deutsche Bank) ออกมาแข็งแกร่ง ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาว่าการประเมินของบริษัทต่าง ๆ เกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
(0) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวกสลับลบ ในขณะที่นักลงทุนรอดูความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และบรรดาประเทศคู่ค้า
(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่าอยู่ที่บริเวณ 33.46 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 0.34%
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 1.63 ดอลลาร์ หรือ 2.63% ปิดที่ 60.42 ดอลลาร์/บาร์เรล ปิดร่วงลงกว่า 2% เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตรหรือโอเปกพลัส จะเพิ่มการผลิตน้ำมันและกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกและทำให้ความต้องการใช้น้ำมันชะลอตัวลง ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 60.23 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.31%
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 14.10 ดอลลาร์ หรือ 0.42% ปิดที่ 3,333.60 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังมีสัญญาณบ่งชี้ว่าความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และบรรดาประเทศคู่ค้าเริ่มผ่อนคลายลง ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 3,325.60 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.24%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 947.13/ 0.09%
ปัจจัยที่ต้องติดตา
30 เม.ย | ไทย: ประชุม กนง. สหรัฐ: Core PCE price Index (มี.ค.), 1Q25 GDP growth จีน: NBS Manufacturing PMI (เม.ย.) ยูโรโซน: 1Q25 GDP growth |
1 พ.ค | ญี่ปุ่น: ประชุม BoJ สหรัฐ: ISM Manufacturing PMI (เม.ย) |
2 พ.ค | ยูโรโซน: เงินเฟ้อ (มี.ค.) สหรัฐ: Non-Farm Payroll (เม.ย.) |
5 พ.ค | สหรัฐ: ISM Services PMI (เม.ย.) |