ปัจจัยต่างประเทศ: ตลาดหุ้นสหรัฐฯและยุโรปปรับตัวลงจากความกังวลการแพร่ระบาดโอมิครอน อาจจะส่งผลให้รัฐบาลออกมาตรการควบคุมกดดันการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้นายโจ แมนชิน ซึ่งเป็นแกนนำวุฒิสมาชิกของพรรคเดโมแครต ประกาศไม่สนับสนุนร่างกฎหมาย Build Back Better วงเงิน 1.75 ล้านล้านดอลลาร์ของปธน.ไบเดน โดยอ้างว่าจะเป็นการเพิ่มภาระหนี้ให้กับสหรัฐส่งผลให้ร่างกฎหมายดังกล่าวขาดเสียงสนับสนุนที่เพียงพอในวุฒิสภา แม้ว่าผ่านการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ ร่างกฎหมายฉบับนี้จะให้เงินช่วยเหลือในการดูแลเด็กอ่อน, การประกันสุขภาพ และการลดภาษีแก่พลังงานสะอาดเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การเลื่อนร่างกฏหมายดังกล่าวออกไปจากเดิมคาดว่าจะสามารถผ่านร่างได้ภายในสิ้นปี ส่งผล sentiment ลบต่อตลาดหุ้นโดยรวมและหุ้นกลุ่ม Climate-related

บริษัทโมเดอร์นา อิงค์ เปิดเผยการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ขนาด 50 ไมโครกรัมของบริษัท จะช่วยให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีต้านไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มขึ้นถึง 37 เท่า เมื่อเทียบกับการฉีดวัคซีนเพียง 2 เข็ม นอกจากนี้ หากมีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ขนาด 100 ไมโครกรัมจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโอมิครอนเป็น 83 เท่า ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อนุมัติการฉีดวัคซีนเพียง 50 ไมโครกรัมในขณะนี้ นอกจากนี้โมเดอร์นายังเปิดเผยว่า บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาวัคซีนสูตรพิเศษที่จะต้านทานสายพันธุ์โอมิครอนเป็นการเฉพาะ โดยคาดว่าจะเริ่มการทดลองกับมนุษย์ในต้นปี 2565 ข่าวดังกล่าวถือว่าเป็นปัจจัยบวกเล็กน้อย สำหรับสถาณการณ์โควิดสายพันธุ์โอไมครอน และการเร่งฉีดเข็ม 3 เป็นสิ่งจำเป็นในการควบคุมการแพร่ระบาด

ปัจจัยภายในประเทศ: ติดตามสถาณการณ์การแพร่ระบาดโอมิครอนในประเทศหลังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 63 ราย รวมถึงมาตรการควบคุมว่าจะออกมาเข้มงวดขนาดไหน ทั้งนี้เรามองกรณีการระบาดโอมิครอนกระทบการท่องเที่ยวและเปิดประเทศ 1) Base case กระทบท่องเที่ยวแต่ไม่ปิดประเทศ แนวรับ SET 1625 2) กรณีกลับไปใช้โมเดล Sandbox แนวรับ SET 1530 3) กรณี Worst case ปิดประเทศ แนวรับ SET 1450 จุด

มุมมอง Packaging Sector ปรับตัวขึ้น outperform ตลาดได้ดีในช่วง 1H21 ก่อนที่จะปรับตัวลง underperform ตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง จากราคาต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตามเราคาดว่าจุดต่ำสุดของกลุ่มนี้ได้ผ่านไปแล้ว โดยต้นทุนกระดาษรีไซเคิลซึ่งเป็นสัดส่วนหลักกว่า 70% ของต้นทุนรวมปรับตัวลง โดยราคากระดาษรีไซเคิลภายในประเทศเริ่มปรับตัวลงกว่า 30% ขณะที่ต้นทุนจากราคาถ่านหินที่ปรับตัวสูงขึ้นแต่มีน้ำหนักต่อต้นทุนรวมไม่สูงมากนัก ส่งผลให้ต้นรวมปรับตัวลดลงและจะช่วยสนับสนุนกำไรของกลุ่มใน 1Q22 ทั้งนี้เราเปลี่ยนคำแนะนำ SCGP และ UTP จาก Neutral เป็น Outperform โดยเลือก SCGP เป็น Top pick คาดจะเห็นกำไร 4Q21 เติบโตโดดเด่นมากกว่า

มุมมองตลาดหุ้น คาด SET 1610-1625 หุ้นแนะนำ BRI GPSC

Top pick:

BRI (ราคาพื้นฐาน 12.90 บาท) คาดว่า BRI จะรายงานกำไรสุทธิที่มี CAGR ระหว่างปี 2563-66 ที่ 59.4% สินค้าที่โดดเด่น ช่องทางการขายและแผนขยายธุรกิจเชิงรุกจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโต,. GPSC (ราคาพื้นฐาน 85.00 บาท) ราคาหุ้น Laggards หุ้นกลุ่มที่ทำธุรกิจแบตเตอรี่รถ EV เก็งประเด็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเกี่ยวกับรถยนต์ EV โดย GPSC มีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ในไทย 30MWh (เริ่มเดินเครื่องผลิตแล้ว) และร่วมลงทุนที่จีนกำลังการผลิตแบตเตอรี่ 1GWh (GPSC ถือหุ้น 11.1% คาดเริ่มเดินเครื่องผลิตในปี 2566)

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ วันพุธ ติดตาม การประชุม กนง. ของไทยคาดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.50% ตัวเลข Existing Home Sales ของสหรัฐฯ เดือน พ.ย. คาด +2.7% MoM เป็น 6.5 ล้านยูนิต ตัวเลข CB Consumer Confidence ของสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. คาด +0.6% MoM เป็น 110.2 จุด และปริมาณสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ รายสัปดาห์ วันพฤหัสฯ ติดตาม ตัวเลขส่งออกและนำเข้าของไทยเดือน พ.ย. ตัวเลข Personal Spending ของสหรัฐฯ เดือน พ.ย. คาด +0.6% MoM ตัวเลข Personal Income ของสหรัฐฯ เดือน พ.ย. คาด +0.4% MoM ตัวเลข Durable Goods Orders ของสหรัฐฯ เดือน พ.ย. คาด +1.5% MoM ดัชนี Core PCE Price Index ของสหรัฐฯ เดือน พ.ย. คาด +0.4% MoM และ +4.5% YoY ตัวเลขการขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯรายสัปดาห์คาด +2.05 แสนคน ตัวเลข New Home Sales ของสหรัฐฯ เดือน พ.ย. คาด +3.4% MoM เป็น 7.7 แสนหลัง และตัวเลข Michigan Consumer Sentiment เดือน ธ.ค. คาด  +4.5% MoM เป็น 70.4 จุด วันศุกร์ ติดตาม ตัวเลข Inflation และ Core Inflation ของญี่ปุ่นเดือน พ.ย. คาด +0.4% YoY และ +0.3% YoY ตามลำดับ ตัวเลข Housing Starts ของญี่ปุ่นเดือน พ.ย. คาด +7.1% YoY

- Advertisement -