ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้

แกว่งขึ้นต่อ แต่ความผันผวนน่าจะสูงขึ้น

ฝ่ายวิจัย KGI ประเมิน SET Index วันพุธแกว่งขึ้นต่อ … หลังจากเมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นบวกตามแรงหนุนของฟันด์โฟลว์ต่างชาติ (ตามคาด) ขณะที่หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ค่อนข้างโดดเด่น ตามแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้นทั่วโลกหนุนจิตวิทยาของหุ้นธนาคาร ผนวกกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากสายพันธุ์ Omicron มากนัก … สำหรับในวันนี้เราคาดว่าแรงผลักขึ้นจากฟันด์โฟลว์จะยังอยู่ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ฟื้นตัว 1.58% หลังจากกลุ่ม OPEC+ มีมติคงแนวทางปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 4 แสนบาร์เรลต่อวัน … อย่างไรก็ดี เรามองว่า upside ระยะสั้นของ SET Index มีจำกัด เนื่องจากการปรับขึ้นของดัชนีฯ ผนวกกับการปรับขึ้นของบอนด์ยิลด์ ส่งผลให้ค่า earings yield gap (EYG) ปรับลดลง โดยหากอิงคาดการณ์ EPS ปี 2565 ของฝ่ายวิจัยฯ พบว่า EYG อยู่ที่ 4.0% แต่หากอิง consensus EPS พบว่า EYG ลดลงเหลือ 3.6% แล้ว ซึ่งสะท้อนว่า valuations ตึงตัวมากขึ้น ด้านปัจจัยในประเทศเช้านี้ศบค. รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อฯ อยู่ที่ 3,899 ราย ซึ่งเริ่มมีสัญญาณเร่งตัวขึ้นจากการติดเชื้อสายพันธุ์ Omicron ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 19 ราย และหายป่วยกลับบ้านอยู่ที่ 2,508 ราย

หุ้นเด่นวันนี้ตามปัจจัยพื้นฐาน

เก็งกำไร LEO, PTG*, INTUCH*

  • LEO (เป้าพื้นฐาน 19 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 15.7 บาท และ 15.3 บาท / แนวต้าน 16.3 บาท หากผ่านแนวต้านนี้ได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป 17.2 บาท (Stop loss 15.0 บาท) 2) เราประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานยังเติบโตเด่น โดยคาดกำไรปี 2565 ยังทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 221 ล้านบาท (+26.4% YoY) i) ตามปริมาณการขนส่งสินค้าทั่วโลกที่ยังเร่งตัวขึ้น สะท้อนมาที่ค่าระวางเรือคอนเทนเนอร์ที่ยังทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง และ ii) รับอานิสงส์จากการเป็นพันธมิตรกับ China Post Yunnan เต็มปี และเตรียมรับบริหารจัดการขนส่งสินค้าผ่านโครงการรถไฟจีน-ลาว ภายใต้ความร่วมมือกับ China Post Yunnan 3) Forward PE ปี 2565 บนประมาณการฯ ใหม่เท่ากับ 23.2 เท่า … ดูบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานวันนี้เพิ่มเติม
  • PTG* (เป้าพื้นฐาน 20 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 15.0 บาท / แนวต้าน 15.4-15.9 บาท หากผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป +/- 16.5 บาท (Stop loss 14.8 บาท) 2) ฝ่ายวิจัยฯ คาดกำไร 4Q64 = 162 ล้านบาท (-76% YoY, +158% QoQ) แม้จะมีปัจจัยลบจากค่าการตลาดน้ำมันที่ลดลง (มาตรการคุมราคาน้ำมันดีเซล) แต่ปริมาณขายน้ำมันคาดว่าจะฟื้นตัว +17% QoQ หลังคลายมาตรการล็อคดาวน์ 3) คาดเตรียมยื่นไฟลิ่ง IPO บ.ลูก 2 ตัว (ธุรกิจ LPG คาดยื่นภายใน 1H65 เลื่อนมาจากปลายปี 2564 / ธุรกิจไบโอดีเซลคาดยื่นภายใน 2H65) 4) PE ปี 2565 คาดต่ำเพียง 14.3 เท่า ใกล้เคียง 1 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของค่าเฉลี่ยในอดีต
  • INTUCH* (เป้าพื้นฐาน 89.5 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 79 บาท / แนวต้าน 82 บาท หากผ่านกรอบแนวต้านนี้ไปได้ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป +/- 84 บาท (Trailing stop 76 บาท) 2) ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินแนวโน้มกำไร 4Q64 จะโต YoY, QoQ หนุนโดยกำไรจาก ADVANC ขณะที่คาด 2565 INTUCH* กำไรจะกลับมาเติบโต +8.3% YoY ได้เป็นครั้งแรก หลังจากที่กำไรลดลงมา 3 ปีติดต่อกัน 3) คาดจ่ายปันผลสำหรับ 2H64 ราว 1.25 บาท/หุ้น (Dividend yield 1.6%) และคาดในผลสำหรับปี 2565 เท่ากับ 2.75 บาท/หุ้น (Dividend yield 3.4%) 4) ประเมินราคาหุ้น INTUCH* laggard ADVANC* ขณะที่การประเมิน Valuation INTUCH* >90% มาจากมูลค่า ADVANC*

หุ้นมีข่าว

(+ CPF, TFG) “บิ๊กตู่” สั่งพาณิชย์แก้หมูแพง แจ้งปชช. ทำใจราคาพุ่งอีกครึ่งปี (ผู้จัดการรายวัน 360 องศา) ครม. นัดแรกของปี 65 “บิ๊กตู่” ให้กำลังใจพรรคร่วมรัฐบาล ขอเริ่มทำงานทันที เล็งออกมาตรการช่วยเหลือประชาชนต่อเนื่อง พร้อมรับทราบถึงสถานการณ์ราคาหมูแพง กำชับให้กระทรวงพาณิชย์เร่งแก้ไขทั้งระบบ ตั้งแต่ผู้เลี้ยงถึงกระบวนการจัดจำหน่าย “ปศุสัตว์” เผยปชช. ต้องบริโภคหมูแพงอีกครึ่งปี เหตุ “แม่พันธุ์หมูขุน” ตายเยอะ ราคาจะเข้าสู่ปกติหลังเดือนก.ค. ไปแล้ว

(0) ทวงหนี้ 3.7 หมื่นล. BTS* ฟ้องกทม. จ่ายค่าเดินรถ-วางระบบ (ฐานเศรษฐกิจ) รถไฟฟ้าสายสีเขียวอลเวงกทม. อ่วมหนี้พุ่ง บีทีเอสฟ้องศาลปกครองทวงหนี้ 3.7 หมื่นล้าน 2 คดีรวด ปี 2565 เตรียมเอกสารฟ้องต่อเนื่องค่าซื้อระบบเดินรถอีก 2 หมื่นล้าน หลังฟ้องทวงหนี้ค่าจ้างเดินรถ 1.2 หมื่นล้าน พ่วง 4 ปี หนี้งอกอีก 5 พันล้าน ขณะ “อัศวิน” ผู้ว่ากทม. ยันเป็นสิทธิ์เอกชน พร้อมแนะทางออกรัฐบาล

(+) TPAC ทุ่ม 484 ล. ซื้อ Ms Skypet Polymers (ผู้จัดการรายวัน 360 องศา) “พลาสติกและหีบห่อไทย” เข้าซื้อ M/s Skypet Polymers มูลค่า 484.1 ล้านบาท ด้วยเงินทุนของ TPAC India จำนวน 376 ล้านรูปีอินเดีย หรือ 176.72 ล้านบาท และส่วนที่เหลือผู้ซื้อจะใช้เงินกู้จากธนาคารในอินเดีย โดย TPAC จะเข้าค้ำประกันเงินกู้หวังรับผลประโยชน์ และเข้าถึงลูกค้าของบริษัท ฯ ได้ดียิ่งขึ้น เป็นการขยายกิจการบรรจุภัณฑ์พลาสติกแข็งของบริษัท ฯ ให้ครอบคลุมอินเดีย

(+) TPCH ปี 65 โต 35% บุ๊กขายไฟฟ้าขยะ (ข่าวหุ้น) TPCH มั่นใจรายได้ปี 65 เข้าเป้าโต 30-35% บันทึกรายได้โรงไฟฟ้าขยะ “สยามพาวเวอร์ (SP)” 9.5 เมกะวัตต์ จ่อ COD โรงไฟฟ้าประชารัฐชีวมวลแม่ลาน และบันนังสตาอีก 5.7 เมกะวัตต์ ช่วงไตรมาส 3/65 พร้อมเร่งปิดดีล M&A หลายโครงการ ดันเป้ากำลังผลิตแตะ 250 เมกะวัตตภายในปี 66

(0) BAFS ขายสิทธิการบริหารทรัพย์สินสำหรับโครงการระบบท่อส่งน้ำมัน (ช่วงกรุงเทพ-บางปะอิน) ให้กับ BCP ด้วยมูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 20 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2584 (SET) ความคิดเห็น: เราคาดว่าเงินที่ได้จากการขายสิทธิ 1,600 ล้านบาท จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับทาง BAFS และเตรียมพร้อมสำหรับการลงทุนในอนาคต โดยเฉพาะโครงการระบบท่อส่งน้ำมัน (ช่วงบางปะอิน-พิจิตร-ลำปาง) แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดว่ากำไรของ BAFS จากโครงการระบบท่อส่งน้ำมัน (ช่วงกรุงเทพ-บางปะอิน) จะลดลงประมาณ 20 ล้านบาท/ปี จากประมาณการของเราในปัจจุบัน ดังนั้นเรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” BAFS ที่ราคาเป้าหมายปี 2555 ไม่เปลี่ยนแปลง 33.00 บาท ซึ่งเรามองว่า BAFS จะเหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว

หุ้นที่เคยแนะนำก่อนหน้า

  • หุ้นที่ผ่านแนวต้านหลักๆ ได้แล้ว แนะนำ “Let profit run” โดยกำหนด Trailing stop: OCEAN (Trailing stop 1.8 บาท) / GPSC* (Trailing stop 85 บาท) / BBL* (Trailing stop 124 บาท)
  • SCC* (เป้าพื้นฐาน 494.4 บาท) แนวรับ 386 บาท / แนวต้าน 390-394 บาท (Trailing stop 385  บาท)
  • BEC* (เป้าพื้นฐาน 14.4 บาท) แนวรับ 14.1 บาท / แนวต้าน 14.3-14.7 บาท (Trailing stop 13.5 บาท)
  • W (ยังไม่มีเป้า Consensus) แนวรับ 4.3 บาท / แนวต้าน 4.4-4.6 บาท (Stop loss 4.3 บาท)
  • OTO (ยังไม่มีเป้า Consensus) แนวรับ 12.0 บาท / แนวต้าน 12.7-13.0 บาท (Stop loss 12.0 บาท)
  • EPG* (เป้าพื้นฐาน 15.5 บาท) แนวรับ 11.6 บาท / แนวต้าน 12.0-12.3 บาท (Trailing stop 11.3  บาท)
  • HMPRO* (เป้าพื้นฐาน 16 บาท) แนวรับ 14.6 บาท / แนวต้าน 15.2-15.4 บาท (Stop loss 14.4 บาท)

Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้

  • ADVANC แนะนำ “ซื้อ” เป้าพื้นฐาน 262 บาท ฝ่ายวิจัยฯ คาดกำไรหลักใน 4Q21 = 6.5 พันล้านบาท (-2% YoY, -3% QoQ) แม้ว่ารายได้จะเติบโตตามปัจจัยฤดูกาล แต่ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินต้นทุนรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจะกดดันกำไรสุทธิ ยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดยคาดกำไรปี 2565 จะพลิกกลับมาเติบโต YoY ครั้งแรก (กำไรลดลง YoY มา 2 ปีติดต่อกัน) และคาด Dividend yield ปี 2565 = 3.2%
- Advertisement -