หุ้นกลุ่มเติบโตสูงตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลง หลัง Fed อาจขึ้นดอกเบี้ย ลดขนาดงบดุล

ปัจจัยต่างประเทศ: ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวลงแรง โดยเฉพาะดัชนี NASDAQ หลัง Fed เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 14-15 ธ.ค. โดยระบุว่าตลาดแรงงานของสหรัฐอยู่ในภาวะตึงตัวอย่างมาก ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการปรับลดการถือครองสินทรัพย์ทั้งหมดด้วย หรือการทำ QT (Quantitative Tightening) โดยมีเป้าหมายที่จะสกัดการพุ่งขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งการที่ Fed เริ่มมองไปที่การทำ QT ถือเป็นปัจจัยลบที่ตลาดยังไม่ได้รับรู้ ดังนั้นจึงสร้างแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และหุ้นเติบโต (Growth Stocks) ต่อเนื่องจากวันก่อนหน้า ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯอายุ 10 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับประมาณ 1.7%

ขณะที่ล่าสุด Fed Watch Tool ส่งสัญญาณ Fed ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้น โดยความน่าจะเป็นที่จะขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมเดือนมีนาคมนี้เพิ่มขึ้นหลังตลาดรับรู้รายงานผลการประชุม จากที่ประมาณ 40% หลังการประชุม Fed รอบที่แล้ว (15 ธ.ค.21) มาเป็นที่ประมาณเกือบ 70% อย่างไรก็ตามทั้งปี 2022 ตลาดยังคาดการขึ้นดอกเบี้ยทั้ง 3 ครั้งอยู่ถึงแม้ความน่าจะเป็นที่จะปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 ครั้งเริ่มปรับเพิ่มขึ้นแล้วก็ตาม

ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 57.6 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 58.0 ในเดือนพ.ย. ได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานในภาคบริการ ส่งผลให้การจ้างงานชะลอตัว ยิ่งทำให้นักลงทุนกังวลต่อทิศทางการลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ มากขึ้น หากตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มออกมาชะลอตัว แต่นโยบายการเงินยังเข้มงวด (Hawkish) มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามติดตามดัชนี ISM ภาคบริการของสหรัฐฯซึ่งเป็นตัวเลขที่นักลงทุนให้น้ำหนักมากกว่าอีกทีในคืนนี้

ปัจจัยภายในประเทศ: ภาพรวมตลาดหุ้นไทยคาดจะทรงตัวในวันนี้ โดยหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์มีความเสี่ยงถูกเทขายทำกำไรตาม sentiment ตลาดหุ้นต่างประเทศที่มีการทำ Sector rotation จากหุ้นกลุ่ม Growth ไปสู่หุ้นกลุ่ม Value ต่อเนื่อง

มุมมองกลุ่มธนาคารพาณิชย์คาดว่ากำไรไตรมาส 4/2564 ของกลุ่มธนาคารจะดีขึ้น 16% QoQ และ 107% YoY เป็น 3.77 หมื่นลบ. จาก non-NII ที่สูงขึ้นและค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญที่ลดลง เราคาดกำไรของ BBL ในไตรมาส 4/2564 จะแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเพราะยังมีช่องทางในการลดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญ ขณะที่ PPOP ของธนาคารส่วนใหญ่จะแข็งแกร่ง ทั้งนี้คาดว่ากำไรไตรมาส 1/2565 จะทรงตัว QoQ และดีขึ้นเล็กน้อย YoY เราคงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มธนาคาร โดยมี SCB และ TTB เป็นหุ้นเด่น

มุมมองตลาดหุ้น คาด SET 1665-70 หุ้นแนะนำ CK

CK (ราคาพื้นฐาน 29.67 บาท) คาดโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มจะเปิดประมูลไตรมาส 1/2565. แนะนำซื้อจาก backlog ที่เติบโตดีและ holding discount ที่ลดลงหากจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

วันพุธ ติดตาม ตัวเลข Markit Service PMI ของยูโรโซน เดือน ธ.ค. ตัวเลข Markit Service PMI ของสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. ปริมาณสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ รายสัปดาห์ของสหรัฐฯ และ FOMC minutes

วันพฤหัสฯ ติดตาม ตัวเลข Caixin Service PMI ของจีนเดือน ธ.ค. คาด 52.2 จุด ตัวเลข Inflation rate ของเยอรมันเดือน ธ.ค. คาด +5.2% YoY ทรงตัวจากเดือนก่อน และตัวเลข ISM Non-manufacturing PMI ของสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. คาด 66.8 จุด (-3.3% MoM) และตัวเลขการขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐฯ

วันศุกร์ ติดตาม ตัวเลข Inflation rate ของยูโรโซน เดือน ธ.ค. คาด +4.7% YoY (ลดลงจากระดับ 4.9% YoY เดือนก่อนหน้า) ตัวเลข Core inflation rate ของยูโรโซน เดือน ธ.ค. ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เดือน ธ.ค. และอัตราการว่างงานของสหรัฐฯ เดือน ธ.ค.

- Advertisement -