บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์:

PTT Exploration and Production Public Company Limited

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)

กำไร 4Q64F ถูกกดดันจากการต้ังด้อยค่า

  • คาดกำไร 4Q64F ถูกกดดันจากการต้ังด้อยค่าโครงการท่ีโมซัมบิก…แต่กำไรปกติยังเติบโตสูง QoQ, YoY ตามราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มข้ึน ท้ังน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ
  • มองว่า 2 ปัจจัยลบหลักในปีท่ีแล้ว คือความล่าช้าในการเข้าพื้นท่ีเอราวัณ และขาดทุนจาก Hedging จะคลี่คลายในปีน้ี
  • คงคำแนะนำ “ซื้อ” จากทิศทางกำไรปกติท่ีมีเสถียรภาพสูงตามปริมาณขายท่ีเพิ่มข้ึน และอัตราเงินปันผลน่าสนใจ

ประเด็นการลงทุน

  • กำไร 4Q64F ถูกกดดันจากการตั้งด้อยค่า … แต่กำไรปกติยังเติบโตสูง เราคาดกำไรสุทธิ 4Q64F อยู่ที่ 9.35 พันลบ. (-2% QoQ, +270% YoY) โดยหากไม่รวมรายการพิเศษ ได้แก่ ขาดทุนจากการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ของโครงการในมาเลเซียและเม็กซิโก -$24m กำไรจาก Hedging ราคาน้ำมัน +$10m การกลับรายการค่าใช้จ่ายของโครงการบงกช +$100m และรายการสำคัญคือการตั้งด้อยค่าใน 2 โครงการรวม -$200m ได้แก่ โมซัมบิกแอเรีย 1 ราว -$170m จาก Country risk ที่สูงขึ้น ตามเหตุการณ์ความไม่สงบในประเทศ ทำให้ต้องหยุดดำเนินการก่อสร้างชั่วคราว ซึ่งกระทบให้การเริ่มผลิตล่าช้าออกไป และเยตากุนในเมียนมาราว -$30m ตามปริมาณการผลิตที่ต่ำลง คาดกำไรปกติอยู่ที่ 1.3 หมื่นลบ. (+19% QoQ, +140% YoY) การเพิ่มขึ้นทั้ง QoQ, YoY โดยหลักจากราคาขายเฉลี่ย (ASP) ที่เพิ่มขึ้นเป็น $47.1/BOE (3Q64: $44.3, 4Q63: $36.9) ตามราคาขายน้ำมันดิบเดิมที่เพิ่มขึ้นตามราคาดูไบที่เพิ่มเป็นราว $78.4/บาร์เรล (3Q64: $71.7, 4Q63: $44.6) และราคาก๊าซเพิ่มเป็น $5.85/MMBTU (3Q64: $5.76, 4Q63: $5.63) จากการปรับราคาตามสัญญาของโครงการบงกชอาทิตย์ และซอติก้า ทางด้านปริมาณขายคาดอยู่ที่ 419 พันบาร์เรล/วัน (+0.4% QoQ, +10% YoY) เพิ่มขึ้นจากโครงการบงกชที่ไตรมาสก่อนมีการซ่อมบำรุง และโครงการที่มาเลเซีย และเติบโต YoY จากโครงการที่โอมานจาก M&A สำหรับต้นทุนคาดเพิ่มเป็น $30.0/BOE (3Q64: $29.4, 4Q63: $31.1) จากค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี ค่าซ่อมบำรุงของซอติก้า และ OPEX ของโครงการที่มาเลเซีย ทั้งนี้หาก 4Q64F เป็นไปตามคาดการณ์ กำไรทั้งปี FY64F จะอยู่ที่ 3.8 หมื่นลบ. +66% YoY จากปริมาณขายและราคาขายที่สูงขึ้น แต่ต่ำกว่าคาดที่ 4.06 หมื่นลบ. จากการตั้งด้อยค่า
  • 2 ปัจจัยลบหลักน่าจะคลี่คลายในปีนี้ ในปีที่แล้วมี 2 ปัจจัยลบหลัก ซึ่งเรามองว่าเป็นประเด็นกดดันราคาหุ้น คือ การเข้าพื้นที่แหล่งเอราวัณล่าช้ากว่าแผน และขาดทุนจาก Hedging จำนวนมากจะคลี่คลายในปีนี้ PTTEP ได้ลงนามสัญญาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเชฟรอน ผู้รับสัมปทานเดิมเรียบร้อยแล้วเมื่อสิ้นปี ทำให้จะสามารถเข้าพื้นท่ีได้ตั้งแต่ม.ค.65 เป็นต้นไป โดยใช้เวลาราว 2 ปี จึงจะสามารถเพิ่มปริมาณการผลิตขึ้นถึงระดับ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ตามสัญญาฯ ทางด้านขาดทุนจาก Hedging จำนวนมากในปีที่แล้วน่าจะไม่เกิดขึ้นอีก ตามความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบที่ไม่น่ากว้างมากเท่าปีที่แล้ว (ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นจาก $51 เป็นสูงสุดท่ี $84) ซึ่งจะเป็นแรงหนุนให้กำไรสุทธิ FY65F ปรับตัวสูงขึ้นตามการเติบโตของปริมาณขาย

คําแนะนํา

  • คงคำแนะนำ “ซื้อ” เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากทิศทางกำไรปกติที่มีเสถียรภาพสูง ตามปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นจากการพัฒันาโครงการเดิม และเริ่มผลิตโครงการใหม่ และราคาน้ำมันดิบทรงตัวในระดับสูง นอกจากนั้น คาด 2 ประเด็นลบหลักที่กดดันจะคลี่คลายในปีนี้ และด้วยทิศทางกำไรที่เติบโตย่อมทำให้โอกาสการจ่ายเงินปันผลกลับสู่ระดับเดิม ซึ่งเป็นอัตราที่ดีราว 5% ทั้งนี้คาด PTTEP จะประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับ 2H64 ในช่วงปลายเดือนนี้

ปัจจัยเสี่ยง

  • ความผันผวนด้านลบต่างๆที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบ และความต้องการใช้น้ำมันและก๊าซ
  • ปัจจัยเสี่ยงต่อกำไร ความเสี่ยงหลักต่อประมาณการกำไร คือ ปริมาณขายต่ำกว่าคาด ราคาขายเฉลี่ยต่ำกว่าคาด ต้นทุนผลิตสูงกว่าคาด และการมีผลขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์
- Advertisement -