บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):

Hana Microelectronics PCL (HANA.BK / HANA TB)* ไม่มีอะไรตื่นเต้นในกลุ่ม smartphone

Event

ประมาณการ 4Q64, ปรับประมาณการทั้งปี และราคาเป้าหมาย

Impact

ประมาณการ 4Q64: กำไรจากธุรกิจหลักจะเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ

เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ HANA ใน 4Q64F จะอยู่ที่ 742 ล้านบาท (+69% YoY, +6% QoQ) ซึ่งจะทำให้กำไรจากธุรกิจหลักปี 2564F อยู่ที่ 2.6 พันล้านบาท (+ 49% YoY) ทั้งนี้ กำไรจากธุรกิจหลักที่เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ จะมาจากยอดขายที่แข็งแกร่งตามยอดขาย semiconductor โลกที่สูงเป็นประวัติการณ์ และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจากการประหยัดต่อขนาด และแรงส่งจากเงินบาทที่อ่อนค่าลง เราคาดว่ายอดขายจะอยู่ที่ 202 ล้านดอลลาร์ฯ (+18% YoY, +6% QoQ) จากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในกลุ่มยานยนต์, cloud computing, มือถือ 5G mobile, และสินค้าอุปโภค รวมถึงการกลับมาเปิดดำเนินการหลังจากที่ COVID-19 ระบาด ทั้งนี้ จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและเงินบาทที่อ่อนค่าลง ทำให้เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นใน 4Q64F จะอยู่ที่ 15.7% (+5.0ppts YoY, +0.1ppts QoQ) ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2564F อยู่ที่ 15.1% (+1.9ppts YoY)

แนวโน้มปี 2565: สามารถเกาะกระแส megatrend ได้บางส่วน

เราคาดว่า HANA จะสามารถเกาะกระแส EV ได้ (ประมาณ 18% ของรายได้รวมเกี่ยวข้องกับกลุ่มยานยนต์) แต่จะถูกหักล้างไปบางส่วนด้วยรายได้ของสินค้าบางกลุ่มที่คาดว่าจะลดลงอย่างเช่น PC (~10% ของรายได้รวม) ทั้งนี้ KGI Taiwan คาดว่าอุปสงค์ของ notebooks จะชะลอตัวลง (-2% YoY ในปี 2565) ในขณะที่คาดว่ายอดการจัดส่ง smartphones (~35% ของรายได้รวมของ HANA) จะทรงตัวในปี 2565 แม้ว่าอัตราการใช้งานมือถือ 5G จะเพิ่มขึ้นจาก 38% ในปี 2564 เป็น 49% ในปี 2565F ก็ตาม โดยสรุปแล้วเราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักของ HANA จะโตในระดับปานกลางที่ 21% ในปี 2565F และ 18% ในปี 2566F หลังจากที่กำไรจากธุรกิจหลักโตอย่างแข็งแกร่งที่ 49% YoY ในปี 2564F

Valuation & action

เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 จากเดิม 82 บาท เป็น 88 บาท อิงจาก PER ที่ 22.0x (คิดเป็น PEG ที่ 1.1X จากอัตราการเติบโตของ EPS ปี 2565) ทั้งนี้เนื่องจากราคาปิดล่าสุดเหลือ upside จำกัด และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลยังช่วยราคาหุ้นอยู่ เราจึงยังคงคำแนะนำ “ถือ”

Risks

ภัยธรรมชาติ, มีการปิดโรงงานนอกแผน, ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก supplier รายอื่น, ขาดแคลนวัตถุดิบ, เงินบาทแข็งค่าขึ้น (เราใช้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนปี 2565-66 ที่ 33.50 บาท/ดอลลาร์)

- Advertisement -