PPS กางแผนธุรกิจปี 65 ชูกลยุทธ์พัฒนานวัตกรรม ยกระดับองค์กรสู่สากล ลุ้นผลประกอบการเทิร์นอะราวด์ ตั้งเป้ารายได้โต 10% มุ่งเน้นให้บริการหลากหลาย สร้างความแตกต่าง เพิ่มโอกาสรับงาน กระจายความเสี่ยง ไตรมาสแรกเร่งดำเนินงานภาครัฐ เอกชน โชว์ Backlog แตะระดับ 700 ล้านบาท รับรู้รายได้ปีนี้ 300 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่เพิ่มต่อเนื่อง
ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจปี 2565 บริษัทมุ่งเน้นกลยุทธ์พัฒนานวัตกรรมยกระดับองค์กรสู่สากล ตั้งเป้าหมายผลประกอบการเทิร์นอะราวด์ รายได้เติบโต 10% โดยบริษัทมีแผนในการพัฒนาและปรับใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับบริการของบริษัท ประกอบด้วย เพิ่มบริการที่เป็นลักษณะการเหมาจ้างแบบเบ็ดเสร็จ (Turn key Design Build) สำหรับงานปรับปรุงบำรุงรักษา (Renovation) สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง พัฒนาการสร้างพื้นที่เสมือนจริง (Virtual Space) สามารถเข้าไปชมพื้นที่แบบจำลอง และใช้เป็นห้องตัวอย่างเสมือนจริง เพื่อเสริมความสามารถทางการขาย และการพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริหารโครงการ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัท อาทิ การตรวจงาน การประสานงาน การควบคุมแผนงาน และการจัดการเอกสาร รวมทั้งการพัฒนานวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับส่วนสนับสนุน (Back office) เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าและพนักงาน
“PPS ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงสภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น บริษัทจึงต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ ซึ่ง PPS ถือเป็นบริษัทที่ปรึกษาวิศกรรายแรกๆ ที่มีความพร้อมในเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยี และนำมาประยุกต์ใช้ในงานก่อสร้าง ด้วยการเพิ่มบริการที่หลากหลาย เพื่อเจาะกลุ่มตลาดลูกค้าใหม่ๆ โดยในระยะยาวเทคโนโลยีดังกล่าว จะเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนที่สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ผลักดันให้บริษัทเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้และสามารถสร้างผลกำไรอย่างต่อเนื่อง” ดร.พงศ์ธร กล่าว
สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2565 บริษัทเตรียมความพร้อมเพื่อยื่นเสนองานภาครัฐและเอกชน ซึ่งคาดว่าจะมีโครงการที่ทยอยลงทุนหลายงานตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ บริษัทได้รับงานใหม่จากงานปรึกษาโครงการพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม งานโลตัส Community Center และงานกลุ่ม Moderntrade อื่นๆ ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 300 ล้านบาท
ขณะที่ การดำเนินงานโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทลักซ์ชัวรี่วิลล่าในที่ดินแหลมยามู จ.ภูเก็ต ในปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ความคืบหน้าการขายล่าช้า อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทได้พัฒนาพื้นที่ส่วนกลาง ประกอบด้วย ถนน และแหล่งจ่ายไฟ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่สนใจเข้ามาดูโครงการ และคาดว่าในปี 2565 นี้ การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะลดความรุนแรงลง และสามารถกลับมาดำเนินงานได้ตามแผนที่วางไว้
********