บล.หยวนต้า (ประเทศไทย): 

Action

TRADING (Maintain)

TP upside (downside) 0.0%

Close Feb 15, 2022 Price (THB) 25.50

12M Target (THB) 25.50

Previous Target (THB) 26.00

What’s new?

  • OR รายงานกำไรปกติ 4Q64 ที่ 2,297 ลบ. ฟื้นตัว +27% QoQ จากการคลายมาตรการ Lockdown และการเข้าสู่ช่วง High Season ของการเดินทางภายในประเทศ แต่ลดลง -20% YoY หลังได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมราคาน้ำมันดีเซลของภาครัฐ
  • ปรับประมาณการปี 2565 ลงเป็น 11,265 ลบ. (+2% YoY) เพื่อสะท้อนผลกระทบจากการตรึงราคาน้ำมันดีเซลใน 1Q65 โดยคาดสามารถเติบโต YoY ได้จากธุรกิจ Non-oil ที่ฟื้นตัว YoY

Our View

  • ปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 25.50 บาท/หุ้น อิง PER65 ที่ 27x ใกล้เคียง Petronas Dagangan และ Starbucks ที่ 29x และ 28x ตามลำดับ
  • OR ประกาศแผนการลงทุน 5 ปี จำนวน 9.3 หมื่นลบ. โดยแบ่งออกเป็น 1) ธุรกิจ Mobility 36% 2) ธุรกิจ Lifestyle 2 2% 3) ธุรกิจ Global 14% 4) ธุรกิจ Innovation 20% และ 5) ธุรกิจอื่นๆ 7% ซึ่งจะเป็น การลงทุนเพื่อการเติบโตทั้งแบบ Organic และ Inorganic ผ่านการทำ M&A ซึ่งจะเป็น Upside ให้กับ OR ในระยะยาว

PTT OIL & RETAIL BUSINESS PLC กำไรปกติฟื้นตัว QoQ แต่การเติบโตยังไม่เด่น

กำไรปกติ 4Q64 ฟื้นตัว QoQ แม้ถูกกดดันจากการจำกัดค่าการตลาด

OR รายงานกำไรปกติ 4Q64 ที่ 2,297 ล้านบาท (+27% QoQ, -20% YoY) ดีกว่าที่เราคาดราว 15% แต่ ใกล้เคียงคาดการณ์ของตลาด จากอัตรากำไรขั้นต้นต่อลิตรที่ 0.98 บาท/ลิตรใน 4Q64 สูงกว่าที่เราประเมินไว้ที่ 0.92 บาท/ลิตร โดยกำไรปกติฟื้นตัว QoQ แม้มีแรงกดดันจากการควบคุมค่าการตลาดในช่วงเดือน ต.ค. 64 เนื่องจาก 1) ปริมาณขายของธุรกิจน้ำมันที่ 6,476 ล้านลิตร (+24% QoQ, +3% YoY) และ 2) ปริมาณขายของ Café Amazon ที่ 87 ล้านแก้ว (+28% QoQ, +18% YoY) โดยปริมาณขายของทั้งสองธุรกิจปรับตัวสูงขึ้นจากการคลายมาตรการ Lockdown ในช่วงปลาย 3Q64 รวมถึงการเข้าสู่ช่วง High Season ของการเดินทางภายในประเทศใน 4Q64 อย่างไรก็ตาม กำไรปกติลดลง YoY เนื่องจาก 1) มาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลของภาครัฐในเดือน ต.ค. 64 ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นต่อลิตรลดลงเป็น 0.98 บาท/ลิตร จาก 1.04 บาท/ลิตรใน 4Q63 และ 2) ค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงขึ้น (+15% YoY) จากการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อชดเชยผลกระทบจากการ Lockdown ใน 3Q64 ส่งผลให้กำไรปกติปี 2564 อยู่ที่ 11,009 ล้านบาท (+19% YoY) สูงกว่าที่เราคาดไว้ราว 6%

ปรับประมาณการปี 2565 ลงเพื่อสะท้อนผลของมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซล

เราปรับประมาณการปี 2565 ลงราว 11% เป็น 11,265 ล้านบาท (+2% YoY) เพื่อสะท้อนผลกระทบจากค่าการตลาดที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับ 0.90-1.00 บาท/ลิตรในช่วง 1Q65 (ผลกระทบจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง YTD) ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะมีการประกาศใช้มาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลไม่เกิน 3 บาท/ลิตร (ปัจจุบันเก็บ 5.99 บาท/ลิตร) แต่มาตรการดังกล่าวจะสามารถชดเชยผลกระทบจากการตรึงราคาน้ำมันดีเซลของรัฐบาลได้เพียงส่วนหนึ่ง จึงส่งผลให้ค่าการตลาดในช่วง 1Q65 ฟื้นตัวได้อย่างจำกัด อย่างไรก็ตาม คาดกำไรปกติปี 2565 ยังคงสามารถเติบโตได้จากปริมาณขายของธุรกิจ Non-oil ที่ฟื้นตัว YoY ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เริ่มคลี่คลาย รวมถึงปริมาณขาย Jet Fuel ที่ฟื้นตัวตามปริมาณการเดินทางระหว่างประเทศ (คาดกลับมาใกล้เคียงกับช่วง Pre-COVID ในปี 2566)

ยังคงต้องรอ Upside จากการลงทุนตามแผนของบริษัทฯ

เราปรับราคาเหมาะสมของ OR ลงเป็น 25.50 บาท/หุ้น อิง PER65 ที่ 27x ใกล้เคียงกับราคาตลาด โดยเรามองว่าที่ระดับราคาปัจจุบัน OR ถือว่า Fully-Valued แล้วเนื่องจากซื้อขายอยู่บน PER65 ที่ 27x สูงกว่า PTG ที่ 14x แต่ใกล้เคียงกับ Petronas Dagangan (ผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกน้ำมันในมาเลเซีย) และ Starbucks (Global Champion ของธุรกิจร้านกาแฟ) ซึ่งซื้อขายอยู่บน PER65 ที่ 29x และ 28x ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม OR ได้มีการประกาศแผนการลงทุน 9.3 หมื่นล้านบาทระหว่างปี 2565-2569 โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนตามธุรกิจดังนี้ 1) กลุ่มธุรกิจ Mobility (ธุรกิจน้ำมันเดิม) 36% 2) กลุ่มธุรกิจ Lifestyle (ธุรกิจ Non-oil เดิม) 22% 3) กลุ่มธุรกิจ Global (ธุรกิจต่างประเทศเดิม) 14% 4) กลุ่มธุรกิจ Innovation & New Business (VC ผ่าน ORZON และ Orion) 20% และ 5) ธุรกิจอื่นๆ 7% โดยการลงทุนจะครอบคลุมทั้งการขยายเครือข่ายของธุรกิจเดิม การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจเดิม การลงทุนในธุรกิจใหม่ และการทำ M&A เพื่อสร้าง Synergy เพิ่มเติม  ซึ่งในปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เช่น 1) การติดตั้ง EV Charger เพิ่มเติม 350 หัวจ่ายภายในปี 2565 2) การทำ Solar Rooftop ในสถานีบริการ และ 3) การลงทุนในธุรกิจใหม่ เช่น Pomelo และ Gowabi ซึ่งจะเป็น Upside ให้กับ OR ในระยะยาว

- Advertisement -