BEAUTY ปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบในทุกช่องทาง ชู 3 กลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจ ทั้ง Re Model, Refresh Branding, Re Structuring ครั้งใหญ่  ลุยตลาดแมสทั้งในและต่างประเทศ เสริมทัพ 2 ผู้บริหารใหม่ รุกช่องทางจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพสู่ตลาดมวลชน มุ่งเน้นสินค้า BEAUTY & WELLNESS ตั้งเป้าผลงานเทิร์นอะราวด์ รายได้เติบโต 65% พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 10%

 

ดร.พีระพงษ์  กิติเวชโภคาวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปีนี้ วางเป้าผลประกอบการกลับมามีกำไร มีฐานะการเงิน กระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง คาดว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 65% หรืออยู่ที่ประมาณ 680 ล้านบาท และรักษาอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 10% โดยสัดส่วนรายได้แบ่งตามช่องทางการจัดจำหน่าย ประกอบด้วย ช่องทางต่างประเทศ  37% ช่องทางค้าปลีก (Retail)  27% ช่องทางค้าส่ง (Trading)  24% และช่องทาง E-Commerce 12%

ทั้งนี้ บริษัทได้กำหนดกลยุทธ์เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจ โดยเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน และพัฒนาธุรกิจให้กลับมาแข็งแกร่งภายใน 3 ปี โดยในปีนี้จะเริ่มจาก 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ (Re Model) ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ (Refresh Branding) และปรับโครงสร้างบริหารจัดการ เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจ (Re Structuring)

สำหรับในส่วนของการ Re Model ได้ปรับเพิ่มช่องทางจำหน่ายหลักจากร้าน BEAUTY BUFFET เป็นการพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดแมส ( Mass Market ) อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านตัวแทนจำหน่าย 13  รายใหญ่ทั่วประเทศ ซึ่งจะเน้นการขยายจุดจำหน่ายสู่ร้าน General Trade ทั้งในรูปแบบวางจำหน่ายสินค้าในร้านค้าและรูปแบบ Store in Store ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวม 8,600 แห่ง พร้อมทั้งเน้นการกระจายสินค้าเข้าสู่ร้าน Modern Trade รวม 6,000 แห่ง และเพิ่มสินค้าใหม่ในจุดจำหน่ายเดิม

ขณะที่ BEAUTY BUFFET SHOP จะมีการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ให้มีความทันสมัย เป็น Professional ด้านผลิตภัณฑ์ การแนะนำเกี่ยวกับความงามอย่างครบวงจร สำหรับกลุ่มลูกค้าทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งขณะนี้บริษัทได้ทยอยปรับปรุงสาขาไปแล้วจำนวน 3 แห่ง คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ทั้ง 50 แห่งทั่วประเทศ ภายในไตรมาส 2/65

ส่วนช่องทาง E-Commerce จะเน้นเพิ่มความสามารถการนำเสนอสินค้ากับกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น พัฒนาระบบบริหารจัดการสินค้าให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งเพิ่มแพลตฟอร์มการเข้าถึงสินค้าให้มีความหลากหลาย ทั้งเว็บไซต์ของบริษัท, Market Place ชั้นนำ, Social Media ที่มีศักยภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการการเข้าถึงได้ทุกช่องทาง สั่งซื้อง่าย และได้รับสินค้าถูกต้อง รวดเร็ว

ด้านช่องทางตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าวางจำหน่ายใน 13  ประเทศ (จีน ฮ่องกง ไตหวัน อินโดนีเซีย กัมพูชา เวียดนาม พม่า ลาว มาลเซีย บรูไน ฟิลิปปินส์ อินเดีย ญี่ปุ่น) ในปีนี้จะเน้นกระจายสินค้าเข้าสู่พื้นที่ต่างๆ ของแต่ละประเทศ และทำการตลาดให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักในวงกว้างร่วมกับตัวแทนจำหน่ายมากขึ้น ขณะที่โมเดลการขายแบบ Product License ในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของ BEAUTY ปัจจุบันมีสินค้าทั้งสกินแคร์และเมคอัพ ที่ตัวแทนนำไปผลิตและจำหน่ายรวม 12 รายการ คาดว่าในปีนี้มีโอกาสเติบโตมากขึ้น เนื่องจากสามารถออกสินค้าได้รวดเร็ว ลดขั้นตอน ค่าใช้จ่ายในการนำเข้า ส่งออก และตรงความต้องการของกลุ่มลูกค้า บริษัทมีแผนขยายตัวแทนจำหน่ายและจำนวนรายการสินค้าที่ให้ License เพิ่มเติมด้วยเช่นกัน

“จากการปรับรูปแบบการจำหน่าย การสร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม BEAUTY & WELLNESS ในช่วงที่ผ่านมา มีการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงสำคัญในปีนี้ อีกประการคือ การปรับภาพลักษณ์แบรนด์ (Refresh Branding) ของ BEAUTY BUFFET ให้มีความทันสมัย สนุกสนาน เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม ซึ่งในช่วงต่อจากนี้ บริษัทจะมีการสื่อสารการตลาดด้วยภาพลักษณ์ใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์แบบ O2O เต็มรูปแบบ และพรีเซนเตอร์ที่หลากหลาย”

นอกจากนี้ BEAUTY ยังมีการปรับโครงสร้างการดำเนินงาน การบริหาร (Re Structuring) ครั้งใหญ่ ลดขนาดองค์กรให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจ และสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการผลิต การขาย และค่าใช้จ่ายในการบริหารได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่ยอดขายทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีการเพิ่มทีมบริหารใหม่ 2 ท่าน ที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจค้าปลีก และการบริหารจัดการตัวแทนจำหน่าย เข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่ง พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ เพื่อขยายตลาดตาม Business Model ใหม่ต่อไป

*****

- Advertisement -