VNG ประกาศงบปี 64 พลิกมีกำไรในรอบ 4 ปี แตะระดับ 1,293.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 319% เทียบปีที่ผ่านมาที่ขาดทุนสุทธิ 590.5 ล้านบาท รับอานิสงส์ตลาดโลกฟื้นตัว หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิดคลี่คลาย ทั่วโลกคลายล็อกดาวน์ ดีมานด์สินค้าเพิ่มขึ้น หลังสร้างโมเดลธุรกิจครบวงจร เพิ่มสินค้าใหม่ใน product mix แผ่น OSB และแผ่นไม้ Plywood ส่งผลให้ผลิตเต็มกำลังการผลิต ช่วยลดต้นทุน ทั้งมั่นใจรายได้และกำไร ปี 65 โตก้าวกระโดด พร้อมส่งแผ่น OSB บุกตลาดต่างประเทศ ขณะที่โรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาด 9.9 MW ช่วยเซฟค่าไฟ เริ่มเดินเครื่องผลิตแล้ว พร้อมแจกข่าวดี บอร์ดไฟเขียวปันผลปี 64 เป็นเงินสดในอัตรา 0.40 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield ที่ 5%
นายวรรธนะ เจริญนวรัตน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ VNG เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยในไตรมาส 4/64 มีรายได้จากการขายรวม 3,829.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,545.5 ล้านบาท หรือ 68% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 2,283.5 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 330.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 511.5 ล้านบาท หรือ 282% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 181.2 ล้านบาท
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2564 มีกำไรสุทธิ 1,293.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,884.3 ล้านบาท หรือ 319% เทียบปีที่ผ่านมาที่ขาดทุนสุทธิ 590.5 ล้านบาท ถือเป็นการเทิร์นอะราวด์ในรอบ 4 ปีอย่างชัดเจน จากที่ก่อนหน้าขาดทุนต่อเนื่อง (2561-63) เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19
“ผลการดำเนินงานในปี 2564 เทิร์นอะราวด์อย่างชัดเจน หลังจากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ประสบปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ทีมผู้บริหารได้มีการปรับกลยุทธ์ธุรกิจ โดยพยายามแก้ไขปัญหาต้นทุนวัตถุดิบได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยการสร้างโมเดลธุรกิจครบวงจร บริหารจัดการวัตถุดิบตั้งแต่กิ่งถึงโคนไม้ยางพารา เพิ่มสินค้าใหม่ใน product mix คือแผ่น OSB และแผ่นไม้ Plywood ทำให้มีการผลิตเต็มกำลังการผลิต ทำให้ต้นทุนลดลง ซึ่งภายหลังจากตลาดโลกฟื้น หลังได้รับวัคซีนโควิด อัตราการเสียชีวิตลดลง ทั่วโลกคลายล็อกดาวน์ ทำให้อุปสงค์ของโลกเพิ่มขึ้น สนับสนุนให้รายได้และกำไรของบริษัทกลับมาฟื้นตัวแรง”
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2565 มั่นใจว่าจะเข้าสู่โหมดของการเติบโตต่อเนื่อง จาก New Growth Drivers ที่จะช่วยผลักดันรายได้และกำไรเติบโต 20% ประกอบด้วย โรงงานผลิตแผ่น OSB ซึ่งมีขนาดกำลังการผลิต 210,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี โดยจับกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ
ส่วนโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาดกำลังการผลิต 9.9 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเดินเครื่องการผลิตแล้ว โดยใช้เปลือกไม้และฝุ่นไม้ที่เหลือใช้จากการผลิต ช่วยประหยัดต้นทุนค่าไฟฟ้า โดยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ปีละ 120 ล้านบาท นอกจากนี้ โรงงานไม้อัด (Plywood) ขนาดกำลังการผลิต 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อปี พร้อมเดินเครื่องผลิตในไตรมาส 2/65 ซึ่งเน้นทำการตลาดทดแทนการนำเข้าไม้อัดจากต่างประเทศ มูลค่า 8,000 ล้านบาทต่อปี รวมไปถึงโรงงาน Super Particle board ก็พร้อมเดินเครื่องผลิตในต้นปี 2565 เช่นเดียวกัน ซึ่งถือเป็นสินค้า wood-based panel เจนเนอเรชั่นใหม่ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก และมีแผนกลับไปบุกตลาดจีนอีกครั้ง หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย
ด้าน “วนชัย โลจิสติกส์” ซึ่งจัดตั้งใหม่ขึ้นมา เพื่อประกอบกิจการให้บริการขนส่งสินค้า และ Warehouse ให้กับกลุ่มบริษัท ซึ่งจะเปิดดำเนินการได้ในไตรมาส 2/65 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งสินค้าของบริษัทในกลุ่ม เพิ่มช่องทางในการดำเนินธุรกิจของบริษัทในกลุ่ม ส่วน “วนชัย วู้ดสมิธ” จะเริ่มกลับมาบุกตลาด retail ทั่วประเทศอีกครั้ง หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง ช่วยผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายกำลังการผลิตโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มเป็น 12.7 เมกะวัตต์ ในปี 2565 จากปัจจุบันกำลังการผลิตอยู่ที่ 9.3 เมกะวัตต์ ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายการผลิตให้กับบริษัทได้ราว 50 ล้านบาทต่อปี และยังได้รับการสนับสนุนจาก BOI
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างโดดเด่น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติเพื่อนำเสนอขอมติผู้ถือหุ้นในการจ่ายเงินปันผลสำหรับงวดผลการดำเนินงานปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (dividend yield) ที่ 5% กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 17 มีนาคม และกำหนดจ่ายวันที่ 17 พฤษภาคมนี้
****