บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action
TRADING (Downgrade)
TP upside (downside) +6.8%
Close Feb 22, 2022 Price (THB) 10.30
12M Target (THB) 11.00
Previous Target (THB) 13.30
What’s new?
- BGC รายงานกำไรสุทธิ 4Q64 ที่ 87 ลบ. และกำไรปกติ 4Q64 ที่ 70 ลบ. ลดลง QoQ และ YoY จาก ายได้ธุรกิจพลังงานที่ลดลงจากปัจจัย และ Curtailment และ GPM ที่ลดลงจากต้นทุนพลังงาน และต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น
- กำไรปกติ 1Q65 มีโอกาสลดลง QoQ แม้ปริมาณขายมีแนวโน้มทรงตัว QoQ แต่ราคาต้นทุนพลังงาน และต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวขึ้นจะส่งผลให้ GPM ลดลง QoQ นอกจากนี้การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เร่งตัวขึ้น จะเป็น Downside Risk สำหรับผลประกอบการใน 1Q65
Our View
- บริษัทฯประกาศการลงทุนเพื่อขยายกำลังผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วเพิ่มเติม 80 ตัน/วัน โดยจะเริ่มการก่อนสร้างในช่วง 1Q66 ถึง 2Q66 ใช้เงินลงทุนราว 1.25 พันล้านบาท ปรับประมาณการปี 2565 ลงเป็น 508 ล้านบาท เพื่อ สะท้อนผลกระทบจากราคาต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น เราจึงมีการปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ลงเป็น 11.00 บาท อิง PER65 ที่ 15x มี Upside เหลือเพียง 6.8% จึงลดคำแนะนำลงเป็น “Trading”
- บริษัทฯกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุนธุรกิจ Packaging เพิ่มเติม โดยจะใช้เงินลงทุน ราว 1-2 พันลบ.
BG CONTAINER GLASS ถูกกดดันจากราคาพลังงานและวัตถุดิบที่สูง
กำไรปกติ 4Q64 ถูกกดดันจากราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูง
BGC รายงานกำไรสุทธิ 4Q64 ที่ 87 ล้านบาท (-31% QoQ, -27% YoY) และหากหักรายการพิเศษเช่น กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากการดำเนินงานที่ยกเลิกออกไปส่งผลให้กำไรปกติอยู่ที่ 70 ล้านบาท ลดลง -29% QoQ และ -21% YoY ถูกกดดันจาก 1) รายได้จากธุรกิจพลังงานที่ลดลง -55% QoQ และ -24% YoY จากปัจจัยฤดูกาลและการจำกัดปริมาณการซื้อไฟฟ้า (Curtailment) ของประเทศเวียดนาม ตามลำดับและ 2) ต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพลังงานที่ลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้น 4Q64 อยู่ที่ 13.9% น้อยกว่า 3Q64 ที่ 19.1% และ 4Q63 ที่ 17.2% ส่งผลให้กำไรปกติ และกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 488 ล้านบาท (-3% YoY) และ 523 ล้านบาท (+1% YoY) ตามลำดับ
กำไรปกติ 1Q65 มีโอกาสลดลง QoQ
คาดกำไรปกติ 1Q65 ลดลง QoQ แม้ปริมาณขายมีแนวโน้มทรงตัวจาก 4Q64 แต่ถูกกดดันจาก 1) GPM ที่มีแนวโน้มลดลง QoQ จากต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นตามระดับราคาน้ำมันโลก และต้นทุนวัตถุดิบที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น YoY นอกจากนี้ยังบริษัทฯยังมีโอกาสได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เร่งตัวขึ้นอีกครั้งในเดือน ก.พ. 65 ส่งผลให้ภาครัฐอาจมีการออกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็น Downside Risk ให้กับปริมาณขายบรรจุภัณฑ์แก้วใน 1Q65
ประกาศขยายกำลังผลิตเพิ่มเติมในปี 2566
BGC ได้มีการแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าบริษัทฯได้มีการอนุมัติการลงทุนโครงการซ่อมแซมและขยายกำลังผลิตเตาหลอมแก้วที่ 1 ของบริษัท อยุธยากล๊าส อินดัสทรี จำกัด (บริษัทย่อยของบริษัทฯ) แล้ว ซึ่งจะมีการขยายกำลังผลิตจาก 320 ตัน/วัน เป็น 400 ตัน/วัน โดยมีกำหนดการเริ่มซ่อมแซมในช่วง 1Q66 และเสร็จสิ้นภายใน 2Q66 ใช้เงินลงทุนราว 1,250 ล้านบาท ทั้งนี้ก่อนการซ่อมแซมบริษัทฯจะมีการผลิตสินค้าไว้ล่วงหน้าเพื่อให้โครงการดังกล่าวมีผลกระทบกับปริมาณขายรวมของ BGC อย่างจำกัด โดยหลังการขยายกำลังผลิต กำลังผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วของบริษัทฯจะอยู่ที่ 4 พันตัน/วัน (รวมโครงการอื่นใน Pipeline)
ปรับประมาณการปี 2565 ลงเพื่อสะท้อนต้นทุนที่สูงขึ้น
ปรับประมาณการปี 2565 ลงราว 17% เป็น 508 ล้านบาท (+4% YoY) เพื่อสะท้อนผลกระทบจากต้นทุน พลังงานที่สูงขึ้นหลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงอุปสงค์น้ำมันที่ฟื้นตัวตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เริ่มคลี่คลายลง นอกจากนี้ต้นทุนวัตถุดิบอื่นๆ เช่น Soda Ash, กระดาษและเม็ดพลาสติกที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น YoY เช่นเดียวกัน โดยคาด GPM ที่ระดับ 16.1% อย่างไรก็ตาม คาดผลกำไรปกติจะสามารถเติบโตสูงในปี 2566 ที่ 587 ล้านบาท (+16% YoY) ได้แรงหนุนจากต้นทุนพลังงานที่มีโอกาสปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วง 2H65 การปรับประมาณการส่งผลให้เรามีการปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ลงเป็น 11.00 บาท หุ้น อิง PER65 15x เหลือ Upside เพียง +6.8% จึงปรับคำแนะนำลงเป็น “Trading” อย่างไรก็ตาม ราคาเหมาะสมอาจมี Upside เพิ่มเติมได้จากการทำ M&A โดยบริษัทฯอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ คาดจะเป็นการลงทุนในธุรกิจ Packaging อื่นๆ (กระดาษ, พลาสติก) เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน โดยรวมของบริษัทฯ โดยจะใช้เงินลงทุนราว 1-2 พันล้านบาท