บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action
BUY (Maintain)
TP upside (downside) +21.8%
Close Feb 25, 2022 Price (THB) 19.30
12M Target (THB) 23.50
Previous Target (THB) 20.00
What’s new?
- AJ รายงานกำไรปกติ 4Q64 ที่ 146 ล้านบาท (+40% QoQ, +148% YoY) สูงกว่าที่เราคาด โดยได้แรงหนุนจากรายได้ที่เติบโตสูง QoQ และ YoY รวมถึง GPM ที่ฟื้นตัว QoQ และ YoY
- ปรับประมาณการปี 2565 ขึ้นเป็น 658 ล้านบาท โดยได้แรงหนุนจากปริมาณขายที่มีแนวโน้มดีต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากทิศทางราคาน้ำมันโลกขาขึ้น ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และการที่บริษัทจีนส่งฟิล์มเข้ามาขายในประเทศไทยน้อยลง (Market Share เพิ่ม)
Our View
- ปรับ Valuation ขึ้นเป็น PBV 2.0x จาก 1) การขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศเวียดนามจะส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯเพิ่มขึ้นในระยะยาว (ตลาดเวียดนามมีราคาขายสูง) และ 2) บริษัทฯอยู่ระหว่างการยื่นคำร้องให้มีการใช้มาตรการ Anti-Dumping กับสินค้าฟิล์ม BOPP ซึ่งจะทำให้บริษัทฯสามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้นในระยะยาว จึงได้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ที่ 23.50 บาท Upside ราว 21.8% คงคำแนะนำ “ซื้อ”
A. J. PLAST PCL เตรียมพร้อมรับการเติบโตรอบใหม่
กำไรปกติ 4Q64 ดีกว่าคาด
AJ รายงานกำไรสุทธิ 4Q64 ที่ 196 ล้านบาท (พลิกจากขาดทุน QoQ, +25% YoY) หากรายการพิเศษต่างๆออก กำไรปกติ 4Q64 อยู่ที่ 146 ล้านบาท (+40% QoQ, +148% YoY) ดีกว่าที่คาดราว 19% จากรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าคาด โดยการเติบโต QoQ และ YoY ได้รับแรงหนุนจาก 1) รายได้ที่ 2,683 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ +18% QoQ และ +53% YoYจากมีการรับรู้รายได้จากคำสั่งซื้อบางส่วนที่เลื่อนออกมาจาก 3Q64 และอุปสงค์โดยรวมที่ฟื้นตัวจากการคลายมาตรการ Lockdown กอปรกับการที่จีนประสบปัญหาขาดแคลนพลังงาน ซึ่งทำให้ภาคการผลิตชะลอตัว ดังนั้น จึงมีปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นใน 4Q64 2) อัตรากำไรขั้นต้นที่ 12.6% เพิ่มขึ้นจาก 10.1% ใน 3Q64 และ 10.0% ใน 4Q63 ตามลำดับ โดยได้แรงหนุนจากการที่บริษัทจีนมีการส่งสินค้าเข้ามาขายในประเทศไทยน้อยลง จึงส่งผลให้บริษัทฯสามารถปรับราคาขายให้สอดคล้องกับราคาต้นทุนที่สูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้กำไรปกติและกำไรสุทธิปี 2564 อยู่ที่ 606 ล้านบาท (+25% YoY) และ 429 ล้านบาท (-19% YoY) ตามลำดับ
ปรับประมาณการปี 2565 ขึ้นจากแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง
เราปรับประมาณการปี 2565 ขึ้นราว 4% เป็น 658 ล้านบาท (+9% YoY) เพื่อสะท้อนแรงหนุนจากปริมาณขายที่มีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากช่วง 4Q64 จาก 1) ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น YTD ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง (ราคาขายมีการปรับขึ้นตามราคาต้นทุน) และ 2) บริษัทผลิตฟิล์มในจีนส่งสินค้าออกมาขายในไทยน้อยลง YoY จากต้นทุนการขนส่งที่สูง ทำให้บริษัทฯมีส่วนแบ่งการตลาดสำหรับตลาดในประเทศไทยสูงขึ้น คาดกำไรปกติปี 2566 ที่ 785 ล้านบาท (+19% YoY) เติบโตสูง YoY โดยได้รับแรงหนุนจากการ COD โรงงานผลิตฟิล์มในเวียดนามในช่วง 4Q64
คงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 23.50 บาท
เราปรับ PBV ขึ้นเป็น 20% เทียบเท่าค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 10 ปี +2SD จาก 1) การขยายธุรกิจไปยังตลาดเวียดนาม ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับฟิล์ม BOPP สูง (รัฐบาลเวียดนามมีการใช้มาตรการ Anti-Dumping กับสินค้าประเภทฟิล์ม BOPP) ส่งผลให้อัตราการทำกำไรโดยรวมของบริษัทสูงขึ้น นอกจากนี้การมีโรงงานอยู่ในเวียดนามจะเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทฯสามารถ Cross-Sell ฟิล์มประเภทอื่นในตลาดเวียดนามได้ง่ายขึ้น โดยคาด ROE ในปี 2566 ที่ 13.9% (สูงกว่า ROE ระหว่างปี 2560 – 2565F) และ 2) บริษัทฯอยู่ระหว่างการยื่นคำร้องต่อกรมการค้าต่างประเทศเพื่อให้มีการใช้มาตรการ Anti-Dumping กับสินค้าประเภทฟิล์ม BOPP โดยหากมีการประกาศใช้มาตรการจะส่งผลให้บริษัทฯ สามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต (ผลประกอบการมีความผันผวนน้อยลง) ซึ่งคาดมีความชัดเจนภายใน 1Q65 ทั้งนี้ เรามองว่าที่ระดับ Valuation ที่ PBV 2.0x ถือว่าเหมาะสมแล้ว เนื่องจากยังต่ำกว่าผู้ผลิตฟิล์มรายอื่นในภูมิภาคต่างทั่วโลก เช่น SRF (7.0x), Cosmo Films (3.5x), และ CCL Industries (2.6x) ส่งผลให้ได้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ที่ 23.50 บาท/หุ้น มี Upside ราว 21.8% คงคำแนะนำ “ซื้อ”