บล.หยวนต้า (ประเทศไทย): 

Action TRADING (Maintain)

TP upside (downside) 12.9%

Close Mar 9, 2022 Price (THB) 5.05

12M Target (THB) 5.70

Previous Target (THB) 7.30

What’s new?

  • บริษัทตั้งเป้าหมายเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2565 จำนวน 18 โครงการรวมมูลค่า 4.8 หมื่นลบ. สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ แบ่งเป็นโครงการ JV 3.1 หมื่นลบ. และ Non-JV 1.7 หมื่นลบ.
  • บริษัทตั้งเป้า Presale และยอดโอนปี 2565 ที่ 2.8 หมื่นลบ. และ 1.3 หมื่นลบ. ตามลำดับ
  • คาดแนวโน้มผลประกอบการในช่วง 1H65 จะยังไม่สดใส เนื่องจากโครงการแนวสูงที่คาดแล้วเสร็จพร้อมโอนในปี 2565 จำนวน 5 โครงการอยู่ในช่วง 2H65 รายได้ 1H65 จึงจะมาจากการระบาย Inventory

Our view

  • เราปรับลดประมาณการปี 2565/66 ลง 34% และ 31% เป็น 1.1 พันลบ. และ 1.4 พันลบ. ตามลำดับ สาเหตุหลักมาจากการปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นลงอย่างมีนัยสำคัญจากอุปสงค์โครงการแนวสูงที่ยังอ่อนแอ
  • คงคำแนะนำเป็น “TRADING” แต่ปรับลดราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2565 เป็น 5.70 บาท/หุ้น
  • เชิงกลยุทธ์แนะนำชะลอการลงทุนไปหลังช่วงประกาศผลประกอบการ 2Q65 ที่คาดเป็นจุดต่ำสุดของปี

NOBLE DEVELOPMENT รอเข้าลงทุนอีกครั้งในช่วง 2H65

แผนปี 2565 ตั้งเป้าในเชิงรุกทั้งยอดเปิดตัว รายได้ และ Presale

บริษัทประกาศแผนการดำเนินงานในปี 2565 ตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 18 โครงการ รวมมูลค่า 4.8 หมื่นลบ. (+591.3% YoY) แบ่งเป็นโครงการของบริษัท 10 โครงการรวม มูลค่า 1.7 หมื่นลบ. (โครงการแนวสูง 6 โครงการ มูลค่า 1.0 หมื่นลบ. และแนวราบ 4 โครงการ มูลค่า 6.8 พันลบ.) และ โครงการ JV8 โครงการ รวมมูลค่า 3.1 หมื่นลบ. (แนวสูง 4 โครงการ มูลค่า 2.3 หมื่นลบ. และแนวราบ 4 โครงการ มูลค่า 8.0 พันลบ.)

บริษัทตั้งเป้า Presale ปี 2565 ที่ 2.8 หมื่นลบ. (+248.5% YoY) ส่วนใหญ่เป็นโครงการแนวสูงที่ 2.9 หมื่นลบ. และโครงการแนวราบ 8.0 พันลบ. (แบ่งเป็น Presale จากโครงการของบริษัท และโครงการ JV ที่ 1.5 หมื่นลบ. และ 1.3 หมื่นลบ. ตามลำดับ) ซึ่งจะมาจากการะบาย Inventory จำนวน 1.0 หมื่นลบ. และยอดขายโครงการเปิดตัวใหม่ 1.8 หมื่นลบ. (คิดเป็น Take-up rate ที่ 37.7%) ทั้งนี้ Presale 2M65 อยู่ที่ระดับราว 4.0 พันลบ. หรือคิดเป็น 14% เมื่อเทียบกับเป้าหมายทั้งปีของบริษัท

สำหรับเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ปี 2565 อยู่ที่ 1.3 หมื่นลบ. เติบโตขึ้น 98.1% YoY (แบ่งเป็นโครงการของบริษัทที่ 1.1 หมื่นลบ. และโครงการ JV 2.0 พันลบ. – แนวสูง 5.0 พันลบ. และแนวราบ 8.0 พันลบ.) ทั้งนี้ บริษัทมี Backlog ณ สิ้นปี 2564 จำนวน 7.6 พันลบ. คิดเป็น Secured Transfer ที่ 58.1% จากแนวโน้มอุปสงค์แนวสูงที่คาดยังอ่อนแอในปี 2565 เราจึงคาดเป้ายอดโอนกรรมสิทธิยังมี Downside risk อยู่ราว 10%+/-

แนวโน้มผลประกอบการ 1H65 ยังไม่สดใส… แต่จะกลับมาโดดเด่นอีกทีในช่วง 2H65

โครงการแนวสูงที่คาดจะแล้วเสร็จพร้อมโอนในปี 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 5 โครงการ ได้แก่ Noble State 39 (มูลค่า 3.3 พันลบ. มียอดขายแล้ว 45%), Nue Noble Srinakarin – Lasalle (มูลค่า 2.4 พันลบ. มียอดขายแล้ว 64%), Noble Around Ari (มูลค่า 4.4 พันลบ. มียอดขายแล้ว 41%), Nue Ngamwongwan (มูลค่า 1.9 พันลบ. มียอดขายแล้ว 69%) และ Nue Central Bangna (มูลค่า 650 ลบ. มียอดขายแล้ว 97%) โดยบริษัทตั้งเป้าโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการดังกล่าวที่ 40% ของมูลค่าโครงการรวม อย่างไรก็ดี ทั้ง 5 โครงการแนวสูงคาดงานก่อสร้างจะแล้วเสร็จในช่วง 2H65 เป็นผลให้เราคาดรายได้ในช่วง 1H65 จะมาจากการระบาย Inventory และการโอน Backlog ของโครงการปัจจุบันเป็นหลัก อัตรากำไรขั้นต้นและผลประกอบการจึงคาดยังไม่โดดเด่น (คาดผลประกอบการ 1H65 ที่ระดับเพียง Breakeven ถึงกำไรเล็กน้อยบนสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นที่ระดับ 20-22% จากการจัดโปรโมชั่นเพื่อระบายสินค้า)

ปรับลดประมาณการปี 2565/66 ลง 34% และ 31% ตามลำดับ

เราปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2565/66 ลง 34% และ 31% เป็น 1.1 พันลบ. และ 1.4 พันลบ. ตามลำดับ หลักๆ มาจากการปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นลงเป็น 33.7% และ 35.7% สำหรับปี 2565/66 จากอุปสงค์โครงการแนวสูงที่ยังอ่อนแอ และคาดใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีจึงจะกลับเข้าสู่ระดับปกติก่อนเกิดการแพร่ระบาด COVID-19

ทั้งนี้ เราคาดผลประกอบการจะกลับมาโดดเด่นในช่วง 2H65 ซึ่งมีโครงการแนวสูงที่คาดจะแล้วเสร็จพร้อมโอนจำนวนมาก ขณะที่คาดนักท่องเที่ยว/นักลงทุนชาวต่างชาติจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวหลังสถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลายบนสมมติฐานไม่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ และไม่มีการกลับไปใช้มาตรการ Lockdown ในวงกว้างเหมือนเช่นปี 2564 (คาดเบื้องต้นกำไรปกติในช่วง 2H65 ที่ 1.0-1.1 พันลบ. พลิกกลับมาเป็นกำไรจากขาดทุน 113 ลบ. ในช่วง 2H64)

คงคำแนะนำ “TRADING” ปรับลดราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 เป็น 5.70 บาท/หุ้น

คงคำแนะนำ “TRADING” แต่ปรับลดราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 เป็น 5.70 บาท/หุ้น (อิง PER2565 เท่าเดิมที่ 7.0x เทียบเท่า +1.0 SD จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของบริษัท และอิง Dilution จาก NOBLE-W2 ในปี 2565/66 ที่ 0% และ 25% ตามลำดับ) จากแนวโน้มผลประกอบการระยะสั้นที่ยังไม่สดใส เชิงกลยุทธ์จึงแนะนำชะลอการลงทุนไปหลังช่วงประกาศผลประกอบการ 2Q65 ที่คาดเป็นจุดต่ำสุดของปี

ความเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ 1) การแข่งขันที่สูงขึ้นกว่าคาดการณ์ของตลาดแนวราบในปี 2565/66 2) ความไม่แน่นอน ของสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศ และ 3) อัตรา การปฏิเสธสินเชื่อที่สูงกว่าคาดการณ์

- Advertisement -