บล.ทิสโก้:
บมจ. เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ MAJOR เข้าลงทุนใน TKN 5.14%
MAJOR เข้าลงทุนใน TKN ราว 550 ล้านบาท ถือหุ้น 5.14%
MAJOR เข้าลงทุนใน TKN 5.14% ประมาณ 71 ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 7.8 บาท มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 550 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อบนกระดาน ส่งผลให้ MAJOR เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 3 รองจากครอบครัวพีระ เดชาพันธ์ (57.84%) และ THAI NVDR (6.96%) สำหรับเงินลงทุนมาจากกระแสเงินสดในปัจจุบัน โดยบริษัทมีเงินสดและเทียบเท่าเงินสดหลังหักหนี้สิน และการจ่ายเงินปันผลสุทธิ (net cash) ประมาณ 1,800 ล้านบาท
มุมมองของเรา : การลงทุน TKN ในครั้งนี้คิดเป็น Consensus forward ที่ 32X (เทียบกับค่าเฉลี่ยของ Sector Food ที่ consensus forward P/E ที่ 21.3X) และ Dividend Yield’22 ที่ 2.4% เราเชื่อว่าบริษัทมองเห็นถึงศักยภาพของ TKN ในการเติบโต และการ synergy ในอนาคต นอกเหนือจากการรับรู้รายได้เป็นเงินปันผลจากการลงทุนในครั้งนี้ จากการที่ MAJOR เริ่มขยายธุรกิจป๊อปคอร์นเข้าสู่ delivery ได้รับการตอบรับดี และร้านสะดวกซื้อ (CVS) ที่คาดจะเริ่มจำหน่าย เม.ย.22 นี้ โดยปัจจุบันเป็นการจ้างบริษัทภายนอกผลิต (OEM) สำหรับ TKN เป็นทั้งผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกลุ่มอาหารทานเล่น snack ที่มีศักยภาพ ความเชี่ยวชาญทางธุรกิจ และมีช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ ที่อาจจะมา synergy กับธุรกิจป๊อปคอร์น และธุรกิจภาพยนตร์ของ MAJOR ได้ในอนาคต สำหรับข้อมูลการคาดการณ์ TKN จาก consensus มีกำไรสุทธิปี 2022F อยู่ที่ 353 ล้านบาท เติบโต 94%YoY
แนวโน้มผลประกอบการ 1Q22F ต้องลุ้นรายได้หนังในช่วงที่เหลือ
สำหรับในเดือน ม.ค.-9 มี.ค. 22 บริษัทมีรายได้ตั๋วหนัง 5 อันดับแรกราว 200 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 70% ของรายได้ตั๋วหนัง จากเรื่อง Spider-Man, วันสุดท้าย ก่อนบายเธอ (GDH), Batman, 4-Kings และส้มปลายน้อย โดยในช่วง มี.ค.22 ยังมีหนังพร้อมเข้าฉายอีกหลายเรื่องเช่น Morbius (Sony Picture), Death on the Nile (Fox), พี่นาค 3 (Five Star), เทอม 2 สยองขวัญ (GDH), แดงพระโขนง (M-Picture) เป็นต้น ด้านรายได้อาหารทานเล่น Popcorn มียอดขายตั้งแต่ ม.ค.-9 มี.ค. 22 ราว 220 ล้านบาท ได้รับการตอบรับดีจากการยอดขายผ่าน delivery ที่เพิ่มขึ้น สำหรับในปีนี้บริษัทมีแผนขยายโรงหนัง 20-30 จอ เรายังคงประมาณการเดิม คาดกำไรสุทธิปี 2022 อยู่ที่ 528 ล้านบาท คาดรายได้ปี 2022F จะเพิ่มขึ้น 134% จากคาดสถานการณ์ COVID-19 ผ่อนคลายและหนังฟอร์มใหญ่พร้อมเข้าฉาย
ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท
เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากสถานการณ์ COVID-19 ผ่อนคลายไม่มีการล็อกดาวน์ ประกอบการมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด COVID-19 ที่เข้มงวด ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ชม และค่ายหนังใหญ่และหนังไทยเริ่มกลับมาฉายได้ ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 25.5 บาท (อ้างอิงวิธี DCF, WACC 7.2%) สถานะการเงินแข็งแกร่งเป็น net cash คาด Dividend Yield’22 ที่ 2.7%
ความเสี่ยง : 1) เศรษฐกิจซบเซา 2) การล็อกดาวน์จากสถานการณ์ COVID-19 หากรุนแรงขึ้น