SA กางแผนธุรกิจปีเสือ ชู 4 กลยุทธ์เด็ด นำสินทรัพย์ที่มีมาต่อยอดธุรกิจ แตกแขนงออกเป็น 6 กลุ่ม เพื่อเพิ่มมูลค่า ทั้งการจัดหาแหล่งเงินลงทุนจาก Green Finance- Green Bond ต้นทุนต่ำ ปรับสัดส่วนพัฒนาโครงการแนวราบเป็น 50% เน้นสร้าง Recurring Income พร้อมรุกพัฒนาธุรกิจใหม่ ทั้งธุรกรรมการเงิน ธุรกิจพลังงานทดแทน หนุนสร้าง New S-Curve ดันผลงานเติบโตแข็งแกร่ง ด้านผลงานปีนี้ ตั้งเป้ารายได้แตะ 4,500-4,900 ล้านบาท ลุยเปิด 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 11,621 ล้านบาท ส่วน Backlog ในมือตอนนี้ตุนไว้แล้ว 4,324 ล้านบาท ทยอยรับรู้ภายใน 3 ปีต่อเนื่อง
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ภายใต้แนวคิด Asset of Life สร้างกำไรให้กับทุกการใช้ชีวิต เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 โดยระบุว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตอยู่ที่ 4,500-4,900 ล้านบาทจากปีก่อน โดยมีรายได้หลักจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่กำลังดำเนินงานอยู่ (Under Development) จำนวน 4 โครงการ มูลค่า 23,976.3 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้จะมีโครงการที่แล้วเสร็จคือ Landmark @ MRTA Station ขณะที่มีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ จำนวน 8 โครงการ มูลค่า 18,938.9 ล้านบาท โดยเป็นอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย มูลค่า 15,432 ล้านบาท ซึ่งมีมูลค่าคงเหลือเป็น Inventory ที่พร้อมขาย เพื่อรับรู้รายได้อีก 5,059.6 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ มีแผนจะเปิดโครงการใหม่ในปี 2565 จำนวน 6 โครงการได้แก่ Landmark @ Kasetsart TSH Station, Monsane Exclusive Villa Ratchapruek-Pinklao, Siamese Kin Ramintra Phase 2, Siamese Home @ Phaholyothin – Rangsit, Siamese Talingchan และ Siamese Luxury Home @ Ratchapruek – 345 มูลค่ารวม 11,621.9 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมี Backlog มูลค่ารวม 4,324.20 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ภายในปี 2565-69 ขณะเดียวกัน ปีนี้บริษัทได้ขยายโครงการแนวราบ จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 7,500 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับรู้รายได้ภายในปี 2565-70 นี้
ทั้งนี้ ในปีนี้ SA ได้กำหนด 4 กลยุทธ์ในการดำเนินงานเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 1.การจัดหาเงินลงทุนให้สอดคล้องกับการวางแผนการพัฒนาโครงการ อาทิเช่น Green Finance หรือ Green Bond ซึ่งเป็นการลงทุนรูปแบบใหม่ สามารถลดต้นทุนทางด้านการเงินของบริษัทได้ 2.ปรับสัดส่วนการพัฒนาโครงการ โดยเพิ่มรายได้ของโครงการแนวราบมากยิ่งขึ้น 3. มุ่งพัฒนาโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ เช่น ถนนสุขุมวิท โดยมีการเก็บอสังหาริมทรัพย์นี้ไว้ และทำการบริหารจัดการ ทำให้เปลี่ยนการรับรู้รายได้จากการขายเป็นการรับรู้รายได้อย่างสม่ำเสมอ (Recurring Income) และ 4. การพัฒนาธุรกิจใหม่ เพื่อขยายธุรกิจ สู่ธุรกิจ New S-Curve ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตในอนาคต
“บริษัทมุ่งมั่นสร้างการเติบโตแข็งแกร่ง โดยมีการวางแผนพัฒนาโครงการเพิ่มเติมอยู่ตลอดเพื่อสร้างการรับรู้รายได้ของโครงการใหม่ๆ พร้อมกันนี้ ในปี 2565 ได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนพัฒนาโครงการแนวราบให้อยู่ที่ 50% ของรายได้รวมภายในปี 2567 และคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 3,000 – 4,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมองหาโอกาสสร้าง S-Curve จากธุรกิจใหม่ๆ อาทิเช่น ธุรกิจด้านพลังงานสีเขียว ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการบริการ ธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีของการพักอาศัย ธุรกิจเกี่ยวกับการบริการผู้สูงอายุ ธุรกิจเกี่ยวกับ Spa & Wellness และธุรกิจการเงินและการลงทุนอีกด้วย ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของ SA ให้สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่น มั่นคงและยั่งยืนในอนาคต” นายขจรศิษฐ์ กล่าว
********