บล.กรุงศรีฯ:

INVESTMENT STRATEGY – หุ้นหลบความกังวล stagflation

จากการเผชิญหน้าระหว่างรัสเซีย – ยูเครนดำเนินต่อไป ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงสร้างความกังวลต่อความเสี่ยง stagflation เรามองว่าความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นจริงในยุโรปซึ่งพึ่งพาการนำเข้าพลังงานในสัดส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามเราคาดว่านักลงทุนกังวลว่าความเสี่ยงนี้จะส่งผลกระทบในวงกว้างยังประเทศอื่นรวมถึงไทย สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้น เราแนะนำลงทุนกลุ่ม ICT, พาณิชย์, การแพทย์ และประกัน ซึ่งมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น

ในตอนนี้ทั้งหมดยังเป็นความกังวลและคาดการณ์

แม้ความเสี่ยง stagflation จะยังจำกัดพื้นที่ในเศรษฐกิจยุโรปเนื่องจากโครงสร้างพลังงานและเงินเฟ้อ เราคาดว่าความกังวลจะเป็นปัจจัยสำคัญในการบ่งชี้การจัดสรรสินทรัพย์อย่างน้อยในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า โดยรายงานล่าสุดของแบบสำรวจ ZEW economic ในเยอรมันสะท้อนภาวะเศรษฐกิจได้ลดลงอย่างรวดเร็ว (-93.6pt ในมี.ค.) ส่วนคาดการณ์เงินเฟ้อยังคงสูงขึ้น สะท้อนว่าภาคธุรกิจคาดว่าจะเกิดภาวะ stagflation ในยุโรป นอกจากนี้การระบาดของโควิดระลอกล่าสุดในจีน ทำให้เกิดการลอคดาวน์ใน เซินเจิ้นและเซี่ยงไฮ้บางส่วนจะเร่งภาวะคอขวดห่วงโซ่อุปทาน

ไทยยังไม่ใกล้ต่อความเสี่ยงนี้

ความกังวลต่อความเสี่ยง stagflation ทำให้แนวโน้มการลงทุนของนักลงทุนไทยแย่ลง แต่เรามองว่าความเสี่ยง stagflation ในไทยยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้ จึงทำให้การใช้มาตรการการเงินเข้มงวดยังไม่จำเป็นในตอนนี้ โดยเหตุผลของเรา คือ (i) เงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เป็นผลจากราคาพลังงานเป็นหลักซึ่งอาจลดลงได้อย่างรวดเร็ว, (ii) เศรษฐกิจไทยยังซบเซาอยู่พอสมควร (ทั้งในแง่เงินทุนและแรงงาน) และ (iii) ค่าความต่างระหว่าง PPI และ CPI ที่เพิ่มขึ้นสะท้อนอุปสงค์ในประเทศยังอ่อนแอ

นักลงทุนควรทำอย่างไร?

สำหรับนักลงทุนที่รอได้ เราแนะนำให้รออีก 2-3 สัปดาห์เพื่อให้เห็นความชัดเจนในสถานการณ์ยูเครน  แต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในตอนนี้ เรามองว่ากลุ่มที่มีความสัมพันธ์ (correlation) เชิงบวกกับเงินเฟ้อจะเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยในตอนนี้ (ตามตารางที่แนบมา) ได้แก่ กลุ่ม ICT, พาณิชย์, การแพทย์, ประกัน เป็นต้น

- Advertisement -