Weekly Strategy

สัปดาห์นี้ไม่มีปัจจัยโดดเด่น เน้น Domestic ท่ีส่งผ่านต้นทุนได้ (M )

วันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้น Dow Jones ปิดบวก 0.8% หลังจากที่การเจรจาระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐกับจีนมี ปัจจัยบวกเกิดขึ้นเล็กน้อย โดยทางจีนระบุว่า ทั้งจีนและสหรัฐฯต้องพยายามทำให้เกิดสันติภาพบนโลกใบนี้ พร้อมเน้นย้ำถึงการเจรจาทางการทูตมากกว่าใช้ความรุนแรง ขณะที่ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดียูเครนออกมาระบุว่าขณะนี้ถึงเวลาหันหน้าเข้าหากันเพื่อเจรจา ทั้งนี้ หากดูการตอบรับของตลาดจะพบว่าผ่อนคลายต่อเนื่อง สะท้อนจาก (1) Vix Index ปรับตัวลงต่อเนื่องพร้อมกับราคาทองคำที่ปรับฐานต่อเนื่อง (2) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั้ง 2, 10 ปี ยังคงทรงตัวระดับสูง พร้อมกับราคาน้ำมันที่เริ่มนิ่งๆ ขณะเดียวกัน ศบค. ก็ได้ผ่อนคลายมาตรการในวันศุกร์ ด้วยการปรับพื้นที่สีต่างๆบางจังหวัด ส่วนการเดินทางเข้าไทยกระทำได้ง่ายมากขึ้น ด้วยการยกเลิกการตรวจ RT-PCR ก่อนเข้าไทย (ก่อนหน้าต้องตรวจก่อนมา) แต่เมื่อมาถึงต้องตรวจ RT-PCR จากนั้นวันที่ 5 ให้ตรวจ ATK ด้วยตนเอง พร้อมแจ้งผลผ่านแอพฯ มองเป็นบวกอ่อนๆต่อกลุ่มท่องเที่ยว (AOT CENTEL ERW MINT SPA)

ปัจจัยสัปดาห์นี้

(1) ด้านตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศจะค่อนข้างเงียบๆ ไม่มีตัวเลขใดๆ โดดเด่น แต่ประเทศไทยจะมีการรายงาน การค้าระหว่างประเทศของเดือน ก.พ. ในวันที่ 23 มี.ค. Bloomberg คาดว่ามูลค่าส่งออกจะขยายตัว 10%YoY และนำเข้าขยายตัว 19%YoY หากตัวเลขออกมาดีกว่าคาดก็จะเป็นปัจจัยหนุนต่อการลงทุนได้

(2) สถานการณ์ ยูเครน – รัสเซีย ต้องติดตามว่าจะมีพัฒนาการเชิงบวกออกมาหรือไม่ หลังหลายประเทศเห็นว่าควรใช้การเจรจามากกว่าใช้ความรุนแรง ซึ่งหากมีปัจจัยบวกออกมา ก็เชื่อตลาดหุ้นทั่วโลกจะตอบรับเชิงบวก โดยเฉพาะการประชุม NATO ในวันที่ 24 มี.ค.

(3) ประชุมครม. วันอังคารเบื้องต้น มีรายงานออกมาว่ารัฐบาลจะออกมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน ดังนั้น จากปัจจัยทั้งหมดจะค่อนข้างทรงตัว ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1655–1690

กลยุทธ์การลงทุน

กลุ่ม Domestic หรือหุ้นอิงภายในประเทศ ยังมองเป็นกลุ่มน่าสนใจ เพราะผลกระทบจากปัจจัยรบกวนภายนอกประเทศมีจำกัด แต่ควรพิจารณาหุ้นที่มีความสามารถในการส่งผ่านต้นทุนออกไป อาทิ (BJC CPALL HMPRO GLOBAL) ร้านอาหาร (M) เครื่องดื่ม (CBG OSP TACC) โดยยังคงเน้นการเพิ่มการถือครองเงินสดมากขึ้น

M (ซื้อ /ราคาเป้าหมาย 61 บาท) เชื่อว่าบริษัทมีความสามารถพอในการส่งผ่านต้นทุนออกไป สะท้อนจากกำไรขั้นต้นที่ค่อนข้างโดดเด่นในอดีตที่ผ่านมาย้อนหลัง 7 ปี ขณะที่ราคาหุ้นยังค่อนข้าง Laggard และอยู่บนเส้นทางการฟื้นตัว

TACC (ซื้อ /ราคาเป้าหมาย 9.5 บาท) แนวโน้มปี 22 คาดได้รับผลดีต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องของ 7- 11 และการเข้าไปขายในโลตัสได้เพิ่ม เช่นเดียวกับธุรกิจ Character ที่ประเมินว่าลูกค้าจะกลับมาทำการตลาดมากขึ้นหลังชะลอไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

- Advertisement -