Daily Focus: Selective and Value Play

2022 SET Target: 1770

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ยังคงแกว่ง Sideways ตามคาด โดยปิดลบเล็กน้อย 1.75 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายถือว่ายังไม่หนาแน่นนักที่ 6.8 หมื่นลบ. ตลาดยังคงขาดปัจจัยบวกใหม่ และมี Upside จำกัดหลังยืน 1,700 จุด สถาบันในประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นเร่งขึ้นเป็น 1.8 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 2.7 พันลบ. (และ Long SET50 Index Futures 9.3 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index อ่อนตัวลงทดสอบระดับ 1,685-1,690 จุด จากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบหลังรายงานการประชุม FED ระบุว่ากรรมการเห็นพ้องการเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมครั้งหน้า รวมถึงเริ่มลดขนาดงบดุลวงเงิน US$9.5 หมื่นล้านต่อเดือน ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Growth และ Tech ถูกเทขาย ขณะที่ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงแรง หลังสมาชิกอื่นใน IEA เตรียมปล่อยน้ำมันจากคลังสํารองออกมาตามสหรัฐฯ เราประเมินว่า SET Index อาจถูกกระทบในช่วงสั้น 1-2 เดือนนี้ และดัชนีมีโอกาสพักฐานลงหาระดับ 1,600-1,650+- จุด แต่ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อกระแสเงินทุนที่จะไหลเข้าในระยะกลาง-ยาว เพราะช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเม็ดเงินจากการอัดฉีดของธนาคารกลางต่างๆ ไม่ได้ไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศอยู่ในช่วงเร่งตัว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นใน 2H22 เราจึงยังมองจังหวะอ่อนตัวของดัชนีลงหากรอบ คาดการณ์เป็นโอกาสในการ “ทยอยสะสม” เพื่อถือลงทุน โดยยังคงเน้นกลุ่ม Value และ Domestic Play ที่มี PER/PBV ต่ำ ทนทานต่อภาวะเงินเฟ้อ และนโยบายการเงิน โดยเฉพาะ FED ที่จะดึงตัวเร็วได้ดี เรายังชอบกลุ่ม ธนาคาร โรงกลั่น ค้าปลีก อสังหาฯ อาหารและเครื่องดื่ม การแพทย์ เป็นต้น

กลยุทธ์ : เลือกลงทุนหุ้นที่ยังมี Valuation ต่ำ และยังเน้น Value และ Domestic Play

หุ้นเด่นเดือน เม.ย. : BCP, ICHI, IVL, ORI, SHR

หุ้นเด่นวันนี้ : TACC

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 8.70 บาท
  • ระยะสั้นแนวโน้มกำไร 1H22 ยังดูดี และเข้า High Season โดยรายได้เติบโตทั้งจากธุรกิจเครื่องดื่มทั้ง 7-11 และ Non 7-11 รวมถึงธุรกิจ Character ที่ดีขึ้น ส่วนฝั่งต้นทุนยังกระทบไม่มาก
  • ผู้บริหารยังตั้งเป้ารายได้ปีนี้โต 10-15% เร่งตัวตามการ Reopening และการใช้ชีวิตที่ปกติมากขึ้น ส่วนฝั่งต้นทุนหาก 2H22 ยังไม่ผ่อนคลาย อาจพิจารณาปรับขึ้นราคาขาย เรายังคาดกำไรปีนี้โตแข็งแรง +9% Y-Y
  • แนวรับ 7.40-7.30 บาท แนวต้าน 7.55//7.80-8 บาท

Fund Flow: ช่วง 2 วันที่ผ่านมากระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคเร่งตัวขึ้นเป็น US$1,322 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ US$985 ล้าน และ US$511 ล้าน ตามลำดับ ขณะที่อาเซียนยังคงไหลเข้าอินโดนีเซียและไทยหนาแน่นสุด US$113 ล้าน และ US$81 ล้าน นักลงทุนกังวลนโยบายการเงิน FED ที่จะตึงตัวขึ้นเร็ว หลังผู้ว่าการและรายงานการประชุม FED สนับสนุนการเริ่มลดงบดุลในเดือนหน้าวงเงิน US$9.5 หมื่นล้านต่อเดือน และเร่งขึ้นดอกเบี้ย กดดันสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี

ประเด็นสำคัญวันนี้

(0) รายงานการประชุม FED ระบุว่าจะเริ่มลดขนาดงบดุล US$9.5 หมื่นล้านต่อเดือน และเตรียมขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมครั้งหน้าเดือน พ.ค. 22 เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่ยังสูงเกินไปอย่างมาก สอดคล้องกับคอมเมนต์ของเบรนาร์ด หนึ่งในผู้ว่าการ FED ที่ออกมาในวันก่อนหน้า ส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงแรง โดยภาพรวมเป็นไปตามที่เราประเมินว่า Value Play จะ Outperform Growth Play ในช่วงที่สภาพคล่องเริ่มทยอยลดลง

(-) TU คาดกําไร 1Q22 จะอ่อนลง -25% Q-Q, -20% Y-Y แม้คาดรายได้ยังโตดี แต่ถูกหักล้างทั้งหมดด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากค่าขนส่งตามค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์ และค่าใช้จ่ายทางการตลาด แนวโน้ม 2Q22 ยังไม่สดใส โดยถูกกดดันจากราคาอลูมิเนียมและราคาปลาทูน่าเร่งขึ้น โดยคาดหวังการฟื้นตัวใน 3Q22 จาก High Season โดยจากแนวโน้มกำไร 1H22 แผ่วลงมากกว่าที่เคยคาด จึงปรับลดกำไรสุทธิปี 2022 ลงเป็น -22% Y-Y และคาดกลับมาโตในปี 2023 +20% Y-Y ปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 25 บาท แนะนำ “ซื้อลงทุน” โดยมีปัจจัยบวกรอในครึ่งปีหลัง ทั้งกำไรที่จะฟื้นตัวและแผนการ Spin-Off ธุรกิจ Pet Care

(+) JDF เข้าเทรดวันนี้ เป็นผู้พัฒนาสูตรผลิตและจำหน่ายเครื่องปรุงรส ซอส ขนมขบเคี้ยว ประเภทมะพร้าวอบกรอบ ให้กับลูกค้าในลักษณะรับจ้างผลิต (B2B) และภายใต้แบรนด์ตนเอง (B2C) ธุรกิจของบริษัทจะเติบโตตามอุตสาหกรรมอาหาร มีลูกค้าหลัก เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว และร้านอาหาร และยังมีแผนขยายไปยังกลุ่มใหม่ เช่น อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง/ พร้อมทาน โปรตีนอบกรอบ และ Plant-based Food ในอนาคต เรามองผลการดำเนินงานของบริษัทผ่านจุดต่ำสุดแล้วในปี 2021 ซึ่งถูกกระทบจากโควิด และมีการย้ายโรงงานแห่งใหม่ คาดรายได้จะกลับมาฟื้นตัวหลังโควิดคลี่คลาย และไม่มีมาตรการล็อกดาวน์อีก ช่วยให้อัตราการใช้กำลังการผลิตโรงงานใหม่สูงขึ้น ทำให้ได้ประโชน์จาก Economies of Scale หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวอีกครั้ง เราคาดกำไรสุทธิปี 2022 จะฟื้นตัวแรง +106% Y-Y และประเมินราคาเป้าหมายที่ 4 บาท (Finansia เป็นผู้จัดจําหน่ายฯ)

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 144.67 จุด หรือ 0.42% ปิดที่ 34,496.51 จุด หลังรายงานการประชุมเดือนมี.ค.ของเฟดระบุว่ากรรมการเฟดเห็นพ้องที่จะปรับลดขนาดงบดุลลงเดือนละ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์อย่างเร็วที่สุดในเดือน พ.ค.นี้ และสนับสนุนให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% จำนวนหนึ่งหรือสองครั้งในการประชุมวันข้างหน้าเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุกของสหรัฐ และหลายประเทศประกาศคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม

(-) ตลาดหุ้นเอเชีย ปรับลง ตามทิศทางตลาดดาวโจนส์ กดดันจากความกังวลว่าเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยเชิงรุกจะกระทบการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

(+) ค่าเงินบาท แข็งค่าขึ้น ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 33.54 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 5.73 ดอลลาร์ หรือ 5.6% ปิดที่ 96.23 ดอลลาร์/บาร์เรล หลัง IEA จะระบายน้ำมันจากคลังสำรองเพื่อรับมือกับภาวะอุปทานตึงตัว รวมถึง EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา สวนทางกับนักวิเคราะห์คาดจะลดลง 1.85 ล้านบาร์เรล

(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 4.4 ดอลลาร์ หรือ 0.23% ปิดที่ 1,923.1 ดอลลาร์/ออนซ์ จากการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ และความกังวลว่าเฟดจะเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 1,087.30 / -2.68

 

- Advertisement -