บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action BUY (Maintain)

TP upside (downside) +25.0%

Close Apr 8, 2022 Price (THB) 368.00

12M Target (THB) 460.00

Previous Target (THB) 464.00

What’s new?

  • นับจากต้นปี SCC มีความท้าทายจากปัจจัยมหภาค โดยเฉพาะราคาพลังงานที่สูงขึ้น
  • คาดกำไรสุทธิ 1Q65 ที่ 8.2 พันล้านบาท -45% YoY จากฐานสูงเพราะ 1Q64 การผลิตปิโตรเคมีที่สหรัฐฯ เกิดปัญหา Polar Vortex
  • อย่างไรก็ตาม เทียบกับ 4Q64 คาดประคองตัว (-1% QoQ) เพราะการเพิ่มขึ้นของต้นทุน พลังงาน-วัตถุดิบสามารถชดเชยได้ด้วยปัจจัยฤดูกาลของวัสดุก่อสร้าง, การปรับขึ้นราคาขาย กำไรสินค้าคงคลัง, และ Margin ของบรรจุภัณฑ์

Our view

  • ความผันผวนของราคาพลังงาน – ภาวะเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอน เราปรับลดกำไรปกติปี 2565 ลง 11% เป็น 3.4 หมื่นล้านบาท สะท้อนต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ได้ราคาเหมาะสมใหม่ 460.00 บาท
  • ทางพื้นฐานคงคำแนะนำ “ซื้อ” จาก Valuation ที่อยู่ระดับต่ำมากแล้ว ในระยะกลาง – ยาว หุ้นจะมีการเติบโตที่ดีจากการขยายกำลังผลิตปิโตรเคมีที่เวียดนาม – อินโดนีเซีย และการ Spin off SCGC
  • ทั้งนี้ นักลงทุนอาจรอสัญญาณพักตัวของราคาพลังงานสู่ระดับปกติช่วง 2H65 ก่อนเข้าลงทุน

THE SIAM CEMENT 1Q ประคองตัว แต่ช่วงสั้นยังท้าทายต่อไป

ท้าทายจากความผันผวนของปัจจัยมหภาค

นับตั้งแต่ต้นปี 2565 บริษัทฯ มีความท้าทายจากราคาพลังงาน (น้ำมัน – ถ่านหิน) ที่ผันผวนอย่างมาก บริษัทฯ ใช้กลยุทธ์ล็อคราคาขาย – ต้นทุนเพื่อรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินธุรกิจ และควบคุมสินค้าคงคลังให้อยู่ระดับต่ำ สำหรับธุรกิจวัสดุก่อสร้าง แม้ว่าภาพรวมอุปสงค์จะฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า แต่บริษัทฯ สามารถปรับขึ้นราคาขายเพื่อสะท้อนต้นทุนที่สูงขึ้นได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ขณะที่มีการบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิงด้วยการทำสัญญาซื้อขายถ่านหินล่วงหน้า 6-9 เดือน และเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทางเลือก (เป้าหมาย 50% ภายในสิ้นปี) ส่วนธุรกิจปิโตรเคมี แม้อุปสงค์ในภูมิภาคและการใช้อัตราการผลิตของบริษัทฯ ยังเป็นไปตามปกติ แต่ผลการดำเนินงานได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันจากเหตุการณ์รัสเซีย-ยูเครน

คาดผลประกอบการสามารถ 1Q65 ประคองตัว QoQ

สำหรับ 1Q65 คาดกำไรสุทธิ 8.2 พันล้านบาท ลดลง -45% YoY จากฐานสูงในปีก่อน เพราะ Spread ปิโตร เคมีพุ่งขึ้นจากเหตุการณ์ Polar Vortex ในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับ 4Q64 คาดว่าประคองตัว -1% QoQ เพราะปัจจัยลบจาก Spread ปิโตรเคมีลดลง QoQ จากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น และต้นทุนเชื้อเพลิงในธุรกิจวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น จะสามารถชดเชยได้ด้วย 1) การฟื้นตัวของกิจกรรมก่อสร้างตามปัจจัยฤดูกาล 2) ความสำเร็จในการปรับขึ้นราคาวัสดุก่อสร้าง 3) ปริมาณขายปิโตรเคมียังอยู่ระดับดี 4) กำไรสินค้าคงคลัง 1.2 พันล้านบาทจากราคาผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น 5) อัตรากำไรของธุรกิจบรรจุภัณฑ์สูงขึ้นตามราคาในตลาดโลก และ 6) การรับรู้ประโยชน์จากการ M&A ในช่วงที่ผ่านมา

ช่วงที่เหลือของปียังมีความไม่แน่นอน…ปรับกำไรลง 11% สะท้อนต้นทุนพลังงาน

การดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปียังมีความท้าทายจากความไม่แน่นอนของปัจจัยมหภาค เช่น สงครามที่ยืดเยื้อ ราคาพลังงานระดับสูง การแพร่ระบาดในจีน ซึ่งอาจส่งผลต่อต้นทุนการผลิต – ความต้องการใช้สินค้าผ่านการเติบโตของเศรษฐกิจ บริษัทฯ อาจชะลอโครงการลงทุนบางอย่าง และ M&A ในปีนี้ เพื่อรักษาสภาพคล่อง และรอดูสถานการณ์ ทำให้อาจมีการทบทวนงบลงทุน 8-9 หมื่นล้านบาทลงบ้าง (ส่วนของโครงการ LSP 4 หมื่นล้านบาทยังตามแผน) เราปรับกำไรปกติปี 2565 ลง 11% เพื่อเพิ่มความระมัดระวัง โดยปรับสมมติฐานราคาน้ำมันปี 2565 เป็น US$90/bbl (เดิม US$72/bbl) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ส่งผลให้คาดการณ์กำไรปกติปี 2565 อยู่ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท (-27% YoY)

รอสัญญาณราคาพลังงานพักฐานก่อนลงทุน

ราคาเหมาะสมใหม่ 460.00 บาท (เดิม 464.00 บาท) อ้างอิง PBV ที่ 1.5 เท่า (ให้ส่วนลด -1.5 SD) ทางพื้นฐานคงคำแนะนำ “ซื้อ” เนื่องจาก Valuation ที่อยู่ระดับต่ำ (PBV ปัจจุบันที่ 1.2 เท่า ถือว่ามีส่วนลดจากค่าเฉลี่ยกว่า -2.0 SD) ผลประกอบการระยะกลาง – ยาวจะฟื้นตัวหากราคาพลังงานในตลาดโลกกลับสู่ระดับปกติ และเศรษฐกิจโลกมีเสถียรภาพ รวมทั้งมีการเติบโตจากโครงการปิโตรเคมีที่เวียดนาม (COD 1H66) การขยายกำลังผลิตที่อินโดนีเซีย และการ Spin off SCGC (ต้นปี 2566) อย่างไรก็ตาม เชิงกลยุทธ์ นักลงทุนอาจรอสัญญาณพักตัวของราคาพลังงานช่วง 2H65 ก่อนเข้าซื้อ รวมทั้งระยะสั้นหุ้นยังมีความเสี่ยงจากปัจจัยมหภาค และความเสี่ยงถูก Downgrade Earnings

- Advertisement -