บล.ทรีนีตี้:
เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส – JMT
คาดกำไร 1Q65 อ่อนตัวตามฤดูกาล แต่ทั้งปียังโตสูง
- คาดกําไร 1Q65 ที่ 400 ล้านบาท อ่อนตัว 16%QoQ แต่ยังเติบโต 42%YoY
- รายได้จากธุรกิจบริหาร NPL อาจอ่อนตัว QoQ ตามฤดูกาล แต่ใน 4Q64 มีกลับสำรองหนี้ ทำให้อาจเห็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้น QoQ จากฐานต่ำ
- แต่กำไร 1Q65 อาจเป็นจุดต่ำสุดของปี และจะดีขึ้นรายไตรมาสในช่วงที่เหลือ
- แนวโน้มปี 65 ยังสดใส โดยจะรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากฐานหนี้ที่ใหญ่ขึ้น และการตัดต้นทุนหนี้หมดอย่างต่อเนื่อง
- ปรับประมาณการกำไรปี 65-66 ขึ้นเพื่อสะท้อน JV กับ KBANK
- ยังมี Upside จากการร่วม JV กับธนาคารอื่นๆ ซึ่งต้องติดตามในอนาคต
- ธุรกิจกำลังเข้าสู่ช่วงเติบโตสูง จากทั้งปัจจัยอุตสาหกรรมและจากการบริหารจัดการภายในของบริษัทเอง
- ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 103 บาท แนะนำ “ซื้อ”
คาดกําไร 1Q65 อ่อนตัว QoQ ตามฤดูกาล
เราคาดกำไร 1Q65 ที่ 400 ล้านบาท อ่อนตัว 16%QoQ แต่ยังเติบโต 42%YoY โดยรายได้จากการให้บริการติดตามหนี้จากสถาบันการเงินอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 18%QoQ เนื่องจากสถาบันการเงินอาจนำหนี้มาให้ติดตามมากขึ้น ภายหลังหมดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ขณะที่รายได้จากธุรกิจบริหาร NPL อาจลดลงตามฤดูกาลหลังในไตรมาส 4 มักเป็น High Season ขณะที่ต้นทุนการให้บริการลดลงเล็กน้อยตามรายได้ที่ลดลง แต่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานคาดเพิ่มขึ้น 56%QoQ เนื่องจากใน 4Q64 อยู่ในฐานจากการกลับสำรองหนี้ แต่ในช่วงที่เหลือของเรา มองว่ากำไรจะปรับตัวดีขึ้น QoQ รายไตรมาส
ปี 65 แนวโน้มยังสดใสทำ New High ต่อ
เราปรับประมาณการกำไรปี 65-66 ขึ้น 3.6% และ 8.3% มาอยู่ที่ 2,115 ล้านบาท (+51%YoY) และ 2,963 (+40%YoY) ตามลำดับ โดยเพิ่มประมาณการ JV กับ KBANK จากประมาณการเดิม ภายใต้สมมติฐานว่า JV จะเริ่มดำเนินงานได้ภายใน 3Q65 ด้วยเงินลงทุน 2,000 ล้านบาท (สัดส่วน 50:50) ซึ่งจะส่งผลบวกต่อกำไรปี 65 ราว 23 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงแรกยังต้องใช้เวลาในการโอนสิทธิเรียกร้อง ทำให้ไม่สามารถติดตามหนี้ได้เต็มที่ แต่จะเห็นกำไรดีขึ้นเด่นชัดในปี 66 เป็นต้นไป ขณะที่ในแง่ผลการดำเนินงานปกติ คาดจะเห็นยอดจัดเก็บที่ดีขึ้นจากการเปิดเมือง และการรับรู้รายได้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากหนี้ที่ได้ตัดต้นทุนหมดอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตรากำไรจะดีขึ้นเช่นกัน เนื่องจากยอดจัดเก็บที่ดีขึ้นจะทำให้สำรองหนี้ลดลง ซึ่งเรามองแนวโน้มการเติบโตในช่วงปี 66-68 จะยังสูงที่เฉลี่ยราว 40% ต่อปี ขณะเดียวกันเราปรับประมาณการสำหรับเงินทุนที่จะเพิ่มขึ้นจากการใช้สิทธิ JMT-W3 ในเดือน พ.ค. 65 นี้ ซึ่งในช่วงแรกอาจทำให้ ROE ลดลงบ้าง แต่ด้วยอัตราการเติบโตของกำไรในระดับสูง คาด ROE จะฟื้นตัวมาอยู่ที่ระดับ 16% ในปี 67 ได้ไม่ยาก และมีโอกาสจะเห็น ROE ฟื้นตัวต่อเนื่อง หากไม่มีการเพิ่มทุนเพิ่มเติม
ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 103 บาท
เราปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 103 บาท อิง PBV 6.25 เท่า (สมมติฐาน Long-term ROE 16%, Ke 9.3% และ Long-term G 8%) โดยมองธุรกิจกำลังเข้าสู่ช่วงเติบโตสูงจากปัจจัยหนี้เสียในระบบที่เพิ่มขึ้นจากสถานการณ์เศรษฐกิจ หนี้เดิมที่ตัดต้นทุนหมดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเงินทุนที่ค่อนข้างพร้อม เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”
ความเสี่ยง อัตราการจัดเก็บหนี้และกระแสเงินสดและการซื้อหนี้ต่ำกว่าที่คาด