บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส :
NRF เจรจา M&A กลุ่ม Plant-Based อีก 2-3 ราย
ล่าสุดที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/64 ได้พิจารณาอนุมัติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทไม่เกิน 7,643,892 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนหุ้นสามัญของบริษัทโกลเด้น ไตรแองเกิล เฮลท์ จำกัด หรือ (GTH) สัดส่วน 49% โดยบริษัท ซูเปอร์ แพลนส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ NRF ถือหุ้น 100% จะเข้าถือหุ้นใน GTH คาดว่าจะกระบวนการจะแล้วเสร็จและรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามาบางส่วนในช่วงไตรมาส 4/64 นี้
ขณะที่บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจาเพื่อที่จะเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในธุรกิจเกี่ยวกับ Plant-Based Foodอีก 2-3 ดีล ในช่วงปลายปีนี้ เนื่องจากปัจจุบันกระแสความนิยม Plant-Based Food ที่เพิ่มมากขึ้น และเพื่อเป็นการรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลายส่งผลให้ความต้องการบริโภคและกำลังซื้อฟื้นตัวขึ้นตามเศรษฐกิจทั่วโลก
สำหรับทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกที่เป็นไปได้ดีในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีผลกระทบเกี่ยวกับการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ที่ยืดยาวกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ แต่บริษัทได้แก้ไขไปได้ในระดับหนึ่งแล้ว ทำให้สามารถรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องตามระยะเวลาที่กำหนด (อินโฟเควสท์ 08 ก.ค. 64)
ผลกระทบ: เป็นบวก เรามองว่าการได้เข้าไปถือหุ้นใน GTH จะทำให้เกิด Synergy ซึ่ง GTH มีความชำนาญในด้านธุรกิจกัญชงที่จะมาต่อยอดให้กับ NRF ได้เป็นอย่างดี เช่นเดียวกับการทำ M&A กลุ่ม Plant-Based อีก 2-3 ราย จะช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้จาก 7% ในงวด 1Q64 ให้มากขึ้นได้อีก ซึ่งก็จะสอดคล้องกับแนวโน้มธีมอาหารในโลกอนาคต(Future Food) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมสูง
คำแนะนำ: ซื้อ NRF จากข้อดีคือ
1) มีสัดส่วนการส่งออกถึง 85% จึงได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่ามากถึง32.50 บาทต่อเหรียญในขณะนี้
2) คาดว่าในงวด 2Q64 ผลการดำเนินงานจะกลับมาฟื้นตัวดี หลังจากไม่มีรายการค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการลงทุนขนาดใหญ่อีก ต่างจาก 1Q64
3) ประมาณการกำไรสุทธิเติบโตแข็งแกร่งปี 64 และ 65เป็น +60%/ +48% เทียบ y-o-y และ
4) ได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณใน SET100 มีผลในช่วง 1 ก.ค.-31 ธ.ค.64กำหนดให้ราคาพื้นฐาน เป็น 12.00 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี DCF ราคาปิดมีส่วนเพิ่มได้อีกถึง 20%