FTE เผยผลงวดงวดไตรมาส 1/65 มีรายได้รวม 238.64 ล้านบาท ลดลง 261.64 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ 6.74 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 12.48 ล้านบาท ระบุเป็นจากผู้รับเหมาส่งมอบงานล่าช้ากว่ากำหนด ได้รับงานโครงการที่มีมูลค่าลดลง ทั้งยังต้องตั้งผลขาดทุนจาก NPL ตัวการกดดันผลกำไร มองภาพรวมอุตสาหกรรมติดตั้งระบบดับเพลิงไตรมาส 2/65 มีแนวโน้มดี คว้างานแล้ว 93.6 ล้านบาท เล็งกวาดงานเพิ่ม 150 ล้านบาท หนุนเพิ่มปริมาณ Backlog จากปัจจุบันตุนไว้แล้วที่ระดับ 470 ล้านบาท

 

นายทักษิณ ตันติไพจิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ FTE เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมติดตั้งระบบดับเพลิง คาดว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/65 เป็นต้นไป จากการที่ภาครัฐและเอกชนทยอยลงทุนมากขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยในช่วงไตรมาส 2/65 บริษัทรับงานจัดหาและติดตั้งระบบดับเพลิงได้แล้วรวมกว่า 93.6 ล้านบาท อาทิ โครงการสถานีไฟฟ้าย่อยของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และโครงการโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ

ขณะเดียวกัน บริษัทยังเข้าร่วมประมูลและนำเสนองานจัดหาและติดตั้งระบบดับเพลิงภาครัฐและเอกชน มูลค่ารวมกว่า 300 ล้านบาท คาดว่าจะมีโอกาสรับงานประมาณ 150  ล้านบาท โดยปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) ประมาณ 470 ล้านบาท แบ่งเป็นงานออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิง 320 ล้านบาท และงานจัดจำหน่าย 150 ล้านบาท

“บริษัทยังคงมุ่งเน้นกระจายความเสี่ยงการรับงานหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารโครงการ ทั้งเรื่องคุณภาพและระยะเวลาในการติดตั้ง ควบคู่กับการบริหารจัดการต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่าย ซึ่งหากบริษัทสามารถดำเนินได้ตามแผนและส่งมอบงานได้ตามกำหนด เชื่อว่าจะสามารถเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้รายได้โต 20% หรือ 1,200 ล้านบาท และรักษาอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 8%”

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/65 บริษัทมีรายได้รวม 238.64 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 261.64 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6.74 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 12.48 ล้านบาท

สาเหตุที่รายได้ปรับตัวลดลง เนื่องจากผู้รับเหมาส่งมอบงานล่าช้ากว่ากำหนด  และช่วงต้นปีบริษัทได้รับงานโครงการมูลค่าลดลง ส่วนกำไรสุทธิที่ลดลง เนื่องจากบริษัทตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (หนี้สงสัยจะสูญ) จำนวน 13.40 ล้านบาท สาเหตุจากลูกหนี้ชำระเงินล่าช้า อย่างไรก็ตาม บริษัทเร่งบริหารจัดการเรื่องการติดตามลูกหนี้ รวมถึงเพิ่มกระบวนการพิจารณาการให้วงเงินเครดิตลูกค้าอย่างละเอียดมากขึ้น

ขณะที่บริษัทมีกำไรขั้นต้น 58.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.15 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หรือมีอัตรากำไรขั้นต้น 24.86% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 22.43% เนื่องจากการบริหารจัดการต้นทุนสินค้าได้ถูกลง

*******

- Advertisement -