บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action BUY (Maintain)

TP upside (downside) +22.5%

Close May 23, 2022 Price (THB) 2.04

12M Target (THB) 2.50

Previous Target (THB) 2.80

What’s new?

  • แม้มีการปิดซ่อมโรงงาน แต่กำไรปกติ 2Q65 มีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง QoQ จากรายได้ของธุรกิจเอทานอลที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และธุรกิจแป้งที่ฟื้นตัว QoQ หลังจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการ Lockdown
  • คาดกําไรปกติในช่วง 2H65 สามารถเติบโตได้ HoH โดยได้แรงหนุนหลักจากการขยายตัวของธุรกิจแป้ง ซึ่งมี GPM สูงเป็นหลัก โดยเฉพาะสินค้าประเภทแป้งฟลาวที่มีโอกาสเร่งตัวขึ้นหลังผ่านช่วงทดสอบคุณภาพ

Our view

  • คงประมาณการปี 2565 แต่ปรับประมาณการปี 2566 ลงเป็น 516 ล้านบาท เพื่อสะท้อนแนวโน้มของธุรกิจเอทานอลที่อาจได้รับแรงกดดันจากราคาวัตถุดิบที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง (GPM ลดลง)
  • เนื่องจาก UBE มีการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในการส่งออกแป้งออร์แกนิกสูง จึงอาจได้รับผลกระทบจากการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ เราจึงปรับ Valuation ลงเป็น PBV 1.6x เพื่อสะท้อนปัจจัยดังกล่าว ได้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 2.50 บาท/หุ้น Upside +22.5% คงคำแนะนำ “ซื้อ”

UBON BIO ETHANOL เติบโตได้อย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี

คาดกำไรปกติเติบโตต่อเนื่องตลอดปี 2565

จากการเข้าร่วมประชุมกับผู้บริหาร เรายังคงมุมมองบวกต่อการเติบโตของผลประกอบการรายไตรมาสของบริษัทฯ โดยเฉพาะใน 2Q65 ซึ่งแม้จะมีการปิดซ่อมบำรุงรายปีของโรงงานผลิตเอทานอลและแป้งมันสำปะหลังราว 14 วัน แต่คาดกำไรปกติมีโอกาสเติบโตได้จาก

1) รายได้ของธุรกิจเอทานอลที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง QoQ หลังราคาขายเริ่มปรับตัวสูงขึ้น QoQ เพื่อสะท้อนต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ส่งผลให้ GPM ของธุรกิจเอทานอลฟื้นตัว QoQ และสามารถชดเชยผลกระทบจากปริมาณขายที่ลดลงจากการซ่อมบำรุงได้

และ 2) แม้ GPM ของธุรกิจแป้งมีโอกาสถูกกดดันจากราคาต้นทุนมันสำปะหลังที่สูงขึ้น (คำสั่งซื้อบางส่วนมีการกำหนดราคาไว้ตั้งแต่ 4Q64) แต่กำไรขั้นต้นของธุรกิจแป้งมีแนวโน้มฟื้นตัว QoQ เนื่องจากปริมาณการส่งออกแป้งมันสำปะหลังรวม (Native และ Organic) มีโอกาสฟื้นตัวกลับไปอยู่ในระดับ 3.5-4.5 หมื่นตัน หลังจีนเริ่มลดความเข้มข้นของการ Lockdown ลง (ใน 1Q65 ส่งออกไปได้น้อย เพราะจีนมีการปิดท่าเรือบางส่วน) และจะสามารถชดเชยผลกระทบของต้นทุนที่สูงขึ้นได้ ขณะที่กำไรปกติใน 2H65 จะสามาถเติบโต HoH โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายธุรกิจแป้ง ซึ่งมี GPM สูงกว่าธุรกิจเอทานอลเป็นหลัก โดยเฉพาะการขายแป้งฟลาวมันสำปะหลังที่บริษัทฯ ได้มีการสำรวจตลาดไปแล้วตั้งแต่ปี 2564 (ปริมาณขายจะเร่งตัวขึ้นหลังผ่านช่วงของการทดสอบคุณภาพโดยกลุ่มลูกค้าแล้ว)

การเติบโตอาจชะลอลงบ้างในปี 2566 แต่ยังอยู่ในระดับ Double Digit

เราคงประมาณการปี 2565 ที่ 468 ล้านบาท (+25% YoY) แต่ปรับประมาณการปี 2566 ลง 2% เป็น 516 ล้านบาท (+10% YoY) เพื่อสะท้อนแนวโน้มของอุตสาหกรรมเอทานอลในปี 2566 โดยในปีหน้าคาดราคาขายเอทานอลจะปรับตัวลดลง YoY เนื่องจากราคากากน้ำตาล (หนึ่งในวัตถุดิบที่สามารถนำไปผลิตเอทานอล) มีแนวโน้มปรับตัวลง หลังเกษตรกรเริ่มหันมาปลูกอ้อยมากขึ้น แต่ราคามันเส้นซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่ UBE ใช้ในการผลิตเอทานอลยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูง เพราะมี Demand จากจีนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ GPM ของธุรกิจเอทานอลในปี 2566 มีแนวโน้มลดลง YoY ซึ่งแม้บริษัทฯสามารถสลับไปใช้กากน้ำตาลในการผลิตเอทานอลได้ แต่จะไม่สามารถชดเชยผลกระทบได้ทั้งหมด (ใช้กากน้ำตาลผลิตได้เพียง 40% ของกำลังผลิตทั้งหมด) อย่างไรก็ตาม หากบริษัทฯสามารถขยายธุรกิจและปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้ตามแผน (การขยายสายการผลิตแป้งฟลาว, การเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม และการ Debottleneck สายการผลิตเอทานอล) จะสามารถชดเชยผลกระทบดังกล่าวได้

คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 2.50 บาท/หุ้น

เนื่องจากธุรกิจแป้งของบริษัทฯมีการพึ่งพาการเติบโตของตลาดแป้งมันสำปะหลังออร์แกนิกไปยังสหรัฐฯ เป็นหลัก จึงส่งผลให้มีความเสี่ยงที่การเติบโตของธุรกิจจะถูกกดดันจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ โดยสินค้าออร์แกนิกเป็นสินค้าเกรดพรีเมี่ยม ทำให้มีโอกาสที่ผู้บริโภคจะหันไปเลือกใช้สินค้าทดแทนที่มีราคาถูกลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย (ปริมาณขายเติบโตได้จำกัด) เราจึงปรับ Valuation ลงมาที่ PBV 1.6x (ค่า PBV เฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของหุ้นกลุ่มเอทานอลและกลุ่มแป้งมันสำปะหลังในสัดส่วน 60% และ 40% ตามลำดับ) เพื่อสะท้อนปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว ได้ราคาเหมาะสมใหม่ ณ สิ้นปี 2565 ที่ 2.50 บาท/หุ้น Upside ที่ 22.5% คงคำแนะนำ “ซื้อ”

- Advertisement -