เปิดโครงการอนาคตลุยพัฒนาระบบคมนาคม-เมืองอัจฉริยะ
รองรับแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐและเอกชน

สำนักงาน ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง บมจ. เอเอ็มอาร์ เอเซีย (AMR) แล้ว พร้อมลุยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เดินหน้าขายหุ้นไอพีโอจำนวน 150 ล้านหุ้น ระดมทุนเพื่อลุยพัฒนาโครงการด้านวิศวกรรมออกแบบและเชื่อมต่อระบบไอทีโซลูชั่นแบบครบวงจรในด้านระบบคมนาคมขนส่ง ด้านพลังงาน และเมืองอัจฉริยะ รองรับแผนการขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ-เอกชน พร้อมระบุช่วงปี 2564-2566 มีแผนลงทุนในกิจการ หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์และการให้บริการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ด้านการสร้างรายได้ กำไร และการเติบโตอย่างต่อเนื่องมั่นคง

นายดิถดนัย สังขะรมย์ ผู้อำนวยการฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด (มหาชน) (AMR) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ของ AMR เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย AMR เตรียมแผนเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท/หุ้น คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายครั้งนี้ คาดว่าจะเสนอขายหุ้น และเข้าจดทะเบียนใน SET ได้ภายในไตรมาส 3 ของปี 2564

ทั้งนี้ AMR ดำเนินธุรกิจด้านวิศวกรรมออกแบบและเชื่อมต่อระบบไอทีโซลูชั่น (System Integrator: SI) รวมถึงให้บริการงานดูแลรักษาและซ่อมบำรุงระบบเทคโนโลยีแบบครบวงจร โดยผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทฯ สามารถจำแนกออกเป็น 3 ประเภทตามโครงสร้างรายได้ ได้แก่ (1) งานให้บริการวางระบบคมนาคมขนส่งและวางระบบไอซีทีและซิสเต็มส์โซลูชั่น (2) งานให้บริการดูแลรักษาและซ่อมบำรุง และ (3) การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไอทีโซลูชั่น

นายมารุต ศิริโก กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเอ็มอาร์ เอเซีย จำกัด (มหาชน) (AMR) กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในครั้งนี้ AMR มีเป้าหมายการระดมทุนเพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้ใน 3 ส่วนด้วยกันคือ 1. เงินลงทุนในการพัฒนาธุรกิจด้านระบบคมนาคมขนส่ง ด้านพลังงาน และเมืองอัจฉริยะ 2. เงินทุนสำหรับการวิจัยและพัฒนาด้านการให้บริการและต่อยอดเทคโนโลยี และ 3. ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ

บริษัทฯ มีแผนในการพัฒนาธุรกิจภายใต้การสร้างความสมดุลของรายได้ระหว่างงานโครงการ (Project Base) และรายได้ประจำ (Recurring Income) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายที่ขยายธุรกิจและต่อยอดการเป็นผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมและการออกแบบระบบงานวิศวกรรม System Integration (SI) แบบครบวงจรของประเทศไทย มุ่งเน้นการพัฒนาธุรกิจที่นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ อาทิเช่น ด้านคมนาคมและระบบรางสมัยใหม่ ด้านพลังงานทางเลือก ด้านเมืองอัจฉริยะ ด้านเกษตรอัจฉริยะ และด้านสิ่งแวดล้อมอัจฉริยะ

สำหรับในช่วงปี 2564-2566 บริษัทฯ มีแผนในการลงทุน หรือร่วมลงทุนในกิจการ หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์และการให้บริการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ด้านการสร้างรายได้ กำไร และการเติบโตอย่างต่อเนื่องมั่นคง

“จุดเด่นของ AMR คือการเป็นผู้ประกอบการ SI แบบครบวงจร ครอบคลุมงานวางระบบคมนาคมขนส่ง ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และความปลอดภัย และระบบโซลูชั่นเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเมืองอัจฉริยะ โดยบริษัทฯ ให้บริการทั้งในรูปแบบที่เป็นผู้รับเหมาหลัก ซึ่งรับงานโดยตรงจากเจ้าของโครงการ และเป็นทั้งผู้รับเหมาช่วง ทำให้มีศักยภาพการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ตามการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยเฉพาะในส่วนของงานด้านคมนาคม และเมืองอัจฉริยะ และที่สำคัญเราวาง Position ของเราอยู่ในตลาด Blue Ocean โดยใช้องค์ความรู้ด้านวิศวกรรมที่เราสั่งสมประสบการณ์มายาวนาน พัฒนาธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ต่างจากคู่แข่งขันในตลาด” นายมารุต กล่าวในที่สุด

สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ในปี 2561-2563 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,917.83 ล้านบาท 1,467.62 ล้านบาท และ 2,584.07 ล้านบาท ตามลำดับ ประกอบด้วยรายได้จากงานโครงการและการให้บริการ รายได้จากการขาย และรายได้อื่น ในปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวมลดลงจากปี 2561 จำนวน 450.21 ล้านบาท หรือลดลง 23.47% มีสาเหตุหลักมาจากบริษัทฯ อยู่ในช่วงเริ่มดำเนินงานโครงการใหม่ ส่งผลให้ในปี 2563 มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 1,116.45 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 76.07% เนื่องจากทยอยรับรู้รายได้จากงานโครงการตามสัญญา

ทั้งนี้ ในปี 2561-2563 มีกำไรสุทธิ 140.99 ล้านบาท 27.39 ล้านบาท และ 247.55 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 7.35% , 1.87% และ 9.58% ตามลำดับ

- Advertisement -